ผู้ร่วมกระทำความผิดที่ไม่ใช่เป็นตัวการ
ผู้ใช้ ผู้สนับสนุน
ในการกระทำความผิดอาญาที่กระทำโดยเจตนาฐานใดฐานหนึ่งนั้น ผู้กระทำความผิดอาจไม่ได้ลงมือกระทำผิดเพียงคนเดียว
อาจมีบุคคลอื่นๆ อีกหลายคนเข้ามาเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดได้ ซึ่งบุคคลที่เข้ามาเกี่ยวข้องในกากระทำความผิดนี้อาจเป็นการเกี่ยวข้องในฐานะที่เป็นผู้ก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิด
ซึ่งเราเรียกว่า “ผู้ใช้”
หากเข้ามาเกี่ยวข้องในฐานะที่เป็นผู้คอยที่ให้ความช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่การกระทำความผิด
ก็ถือว่าเข้ามาเกี่ยวข้องในฐานะ “ผู้สนับสนุน”
และหากเข้ามาเกี่ยวข้องในฐานะที่ร่วมคิดวางแผนและลงมือร่วมกับผู้กระทำความผิด
ก็ถือว่าเป็น “ตัวการ” ในการกระทำผิด
ซึ่งเราเรียกรวมบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดเหล่านี้ว่าเป็นผู้มีส่วนร่วมในการกระทำผิด
หรือ Parties to Crime
แต่ในการกระทำความผิดอาญาบางฐาน แม้จะมีบุคคลอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดอาญาโดยการใช้
ร่ามกระทำผิด หรือให้การสนับสนุน แต่ก็ไม่มีความรับผิดฐานเป็น ตัวการ ผู้ใช้
ผู้สนับสนุน ในความผิดฐานนั้นได้ เพราะถือว่าเป็นซึ่งมีดังต่อไปนี้
1. บุคคลที่ไม่อาจเป็นผู้ร่วมกระทำความผิดได้
เพราะกฎหมายมุ่งประสงค์จะคุ้มครอง
เช่น ในความผิดฐานกระทำชำเราเด็ก
ตาม ป.อ.มาตรา 277 “ผู้ใดกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีซึ่งมิใช่ภริยาหรือสามีของตน
โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สี่ปีถึงยี่สิบปี
และปรับตั้งแต่แปดพันบาทถึงสี่หมื่นบาท” บุคคลที่กฎหมายมาตรา 277
มุ่งประสงค์จะให้ความคุ้มครอง คือเด็กที่อายุยังไม่เกิน 15 ปีนั้นเอง
จะเห็นว่าในกรณีนี้กฎหมายมุ่งประสงค์จะให้ความคุ้มครองเด็กที่มีอายุไม่เกิน
15 ปี
ไม่ว่าจะเพศใดก็ตาม หากปรากฎข้อเท็จจริงว่า เด็กหญิงอายุไม่เกิน 14 ปี ใช้ ชักชวน ยุยง ส่งเสริม ยินยอมให้ชายอื่นกระทำชำเราตนเอง
เด็กหญิงจะมีความผิดฐานเป็นเป็นตัวการ ผู้ใช้ ผู้สนับสนุน
ในความผิดที่ชายอื่นได้กระทำตาม ป.อ.มาตรา 277 หรือไม่
ในประเด็นนี้หากพิจารณาจะเห็นว่าชายย่อมมีความผิดตาม
ป.อ.มาตรา
277 แต่การที่เด็กหญิงใช้ ชักชวน ส่งเสริม
หรือยินยอมให้ชายอื่นกระทำชำเราตนเองจะมีความผิดร่วมกับชายไม่ได้
เพราะเด็กหญิงคือบุคคลที่กฎหมายมาตรานี้มุ่งประสงค์จะให้ความคุ้มครองอยู่การที่จะลงโทษเด็กฐานเป็นตัวการ
ผู้ใช้ ผู้สนับสนุนความผิดฐานนี้ย่อมขัดกับความประสงค์ของกฎหมาย
2.
กรณีบุคคลที่เป็นองค์ประกอบของการกระทำความผิดของผู้กระทำ
เช่น
ความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350 “ผู้ใดเพื่อมิให้เจ้าหนี้ของตนหรือของผู้อื่นได้รับชำระ
หนี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วน ซึ่งได้ใช้หรือจะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้ชำระหนี้
ย้ายไปเสีย ซ่อนเร้นหรือโอนไปให้ผู้อื่นซึ่งทรัพย์ใดก็ดี
แกล้งให้ตนเองเป็นหนี้จำนวนใดอันไม่เป็นความจริงก็ดี ต้องระวาง
โทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ”
ตัวอย่าง
นายแดงต้องการให้เจ้าหนี้ของตนที่กำลังจะใช้สิทธิฟ้องร้องต่อศาลเพื่อบังคับชำระหนี้เอากับรถยนต์ที่นายแดงมีอยู่คันเดียว
นายแดงจึงโอนขายรถคันเดียวของตนเองให้นายดำในราคาถูก
เพื่อมิให้เจ้าหนี้ของนายแดงได้รับชำระหนี้
กรณีของนายแดงย่อมมีความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ แต่กรณีของนายดำจะมีความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ด้วยหรือไม่
ในประเด็นนี้หากพิจารณาให้ดีจะเห็นความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ตาม
ป.อ.มาตรา 350 นั้นมีองค์ประกอบความผิดที่เป็นส่วนของการกระทำความผิด คือ “ย้ายไปเสีย
ซ่อนเร้นหรือโอนไปให้ผู้อื่น” ซึ่งหมายความว่าผู้กระทำความผิดอาญาฐานนี้จะต้องมีการกระทำการอันเป็น
ย้าย ซ่อนเร่น หรือโอนไปให้ผู้อื่น
หากไม่มีการกระทำอันเป็นองค์ประกอบภายนอกของความผิดฐานโกงเจ้าหนี้แล้ว
ย่อมไม่อาจเป็นความผิดฐานนี้ได้เลย
หากนายแดงลูกหนี้ไม่ได้โอนรถยนต์ไปให้นายดำ
ย่อมไม่มีการกระทำอันเป็นองค์ประกอบความผิด ดังนั้นนายดำซึ่งเป็นผู้ที่รับโอนรถยนต์จากนายแดง
จึงถือว่าเป็นบุคคลที่เป็นองค์ประกอบความผิดที่ไม่อาจจะขาดได้ หรือเราเรียกว่า necessary participator หากขาดนายดำผู้รับโอนรถยนต์จากนายแดงแล้ว
ความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ไม่อาจกระทำได้นั้นเอง นายดำจึงเป็น necessary participator (NP) ของนายแดงลูกหนี้
ในเรื่องนี้ในทางตำราจะถือว่านายดำผู้รับโอนรถจากลูกหนี้ไม่อาจเป็นตัวการ
ผู้ใช้ ผู้สนับสนุนได้
แม้นายดำจะทราบข้อเท็จจริงว่านายแดงต้องการโอนขายรถเพื่อหลบเลี่ยงเจ้าหนี้ไม่ให้ได้รับชำระหนี้ก็ตามโดยถือว่าหากฝ่ายนิติบัญญัติต้องการลงโทษการกระทำของนายดำผู้รับโอนทรัพย์จากลูกหนี้ต้องบัญญัติกฎหมายขึ้นมาต่างหาก
หากไม่ได้บัญญัติกฎหมายให้การกระทำของนายดำเป็นความผิด
นายดำก็ไม่มีความผิดฐานเป็นตัวการ ผู้ใช้ ผู้สนับสนุน
แต่อย่างไรก็ตามแม้ความเห็นในทางตำราจะเห็นตรงกันแต่ในการวินิจฉัยของศาลยังมีความแตกต่างกันอยู่ในแนวคำพิพากษาของศาลประเทศสหรัฐอเมริกา
และประเทศอังกฤษโดยศาลอังกฤษถือว่า
บุคคลดังกล่าวอาจต้องรับผิดในฐานะเป็นตัวการผู้ใช้หรือผู้สนับสนุนได้
ถ้าหากเขารู้ข้อเท็จจริง (if he knew the facts) หมายความว่าเขาจะต้องรู้ว่าเป็นการโอนทรัพย์สินเพื่อไม่ให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้นั้นเอง
ซึ่งในกรณีที่ผู้รับโอนไม่รู้ว่าลุกหนี้ต้องการโอนทรัพย์เพื่อไม่ให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้
ย่อมอาจะเป็นตัวการได้อย่างแน่นอน เพราะขาดเจตนาในการกระทำความผิด
แต่กรณีที่ผู้รับโอนก็ทราบดีว่าลูกหนี้ต้องการโอนทรัพย์เพื่อไม่ให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้
แต่ก็ยังช่วยเหลือหรือร่วมมือในการรับโอนทรัพย์จากลูกหนี้ (if he knew the facts) ศาลไทยวินิจฉัยกรณีดังกล่าวอย่างไร
แนวคำพิพากษาของศาลฏีกาไทย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3973/2551
การร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนของโจทก์ไม่ใช่เป็นการใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้ชำระหนี้
แต่เมื่อร้องทุกข์แล้ว พนักงานอัยการได้ฟ้องจำเลยที่ 1 และขอให้จำเลยที่ 1
คืนหรือใช้เงินจำนวน 135,008,163.92 บาท มาด้วย
ทั้งโจทก์ได้ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ในคดีดังกล่าวและศาลชั้นต้นอนุญาต
ดังนี้ จึงมีความหมายโดยนิตินัยว่าโจทก์ได้ฟ้องจำเลยที่ 1
ในคดีดังกล่าวและมีคำขอให้บังคับจำเลยที่ 1 คืนหรือใช้เงินจำนวน 135,008,163.92
บาท ด้วย เท่ากับว่าโจทก์ได้ใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้แล้ว
ขณะจำเลยที่ 1
จดทะเบียนโอนที่ดินให้แก่จำเลยที่ 2 จำเลยทั้งสองได้หย่ากันแล้ว ทั้งจำเลยทั้งสองได้ตกลงกันว่าให้จำเลยที่
2 ไปดำเนินการโอนที่ดินเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 2 แต่เพียงผู้เดียว
หลังจากนั้นจำเลยที่ 2 ยังนำที่ดินไปจำนองด้วย
แสดงว่าจำเลยทั้งสองมีเจตนาโอนที่ดินไปเพื่อมิให้โจทก์เจ้าหนี้ของจำเลยที่ 1
ได้รับชำระหนี้ประกอบกับคำว่าผู้อื่นตาม ป.อ. มาตรา 350
หมายถึงบุคคลอื่นนอกจากตัวลูกหนี้ การที่จำเลยที่ 1
ซึ่งเป็นลูกหนี้ของโจทก์โอนที่ดินให้แก่จำเลยที่ 2
ผู้ซึ่งมิได้เป็นลูกหนี้ของโจทก์จึงเป็นการโอนทรัพย์สินไปให้แก่ผู้อื่นแล้ว
ส่วนต่อมาโจทก์สามารถสืบหาติดตามทรัพย์สินนำมาบังคับคดีได้หรือไม่ เพียงใด
เป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก จำเลยทั้งสองจึงมีความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ตามมาตรา 350
ศาลไทยวินิจฉัยในประเด็นนี้โดยยึดตามแนวทางของศาลในประเทศอังกฤษ
หากผู้รับโอนรู้ว่าลูกหนี้ต้องการโอนทรัพย์สินเพื่อไม่ให้เจ้าหนี้ได้รับชระหนี้แล้วยังรับโอนทรัพย์สินมาโดยมีเจตนาร่วมกันกระทำความผิดกับลูกหนี้
ถือเป็นตัวการร่วมในการกระทำความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ ซึ่งมีความแตกต่างกันกับในทางตำรา
เรื่องนี้ถ้าหากใครสนใจสามารถอ่านเพิ่มเติมได้นะครับในหนังสืออาญาภาคทั่วไปของอาจารย์เกียรติขจร
ซึ่งมีความผิดหลายฐานที่ไม่อาจะเป็นตัวการ ผู้ใช้ ผู้สนับสนุนได้
.......................................................
เฉลิมวุฒิ สาระกิจ
อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา
อ้างอิง : เกียรติขจร วัจนะสวัสดิ์, คำอธิบายกฎหมายอาญา ภาค 1 บทบัญญัติทั่วไป, พิมพ์ครั้งที่ 10, น.736
: สมยศ จันทรสมบัติ,
วิทยานิพนธ์ “ผู้ร่วมในความผิดที่มิใช่ตัวการ ผู้ใช้
หรือผู้สนับสนุน Necessary Participator” จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
2537