Monday 14 July 2014

การป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย (Lawful Defense)






เหตุผลที่กฎหมายให้อ้างป้องกันได้เพราว่ารัฐไม่สามารถให้ความคุ้มครองแก่ประชาชนได้อย่างทันท่วงทีและตลอดเวลา จึงให้สิทธิแก่การป้องกันตัวแก่ประชาชน ดังนั้นการกระทำของประชาชนนั้นแม้จัครบองค์ปรกอบความผิดกตาม แต่ประชาชนก็มีความชอบธรรมในการป้องกันภยัตรายอันจะเกิดขึ้นกับตัวเองหรือผู้อื่นให้พ้นจากภยันตรายนั้นได้













หากยังไม่มีภยันตราย ก็ไม่อาจอ้างป้องกันได้ เช่น คำพิพาษาฏีกาที่ 5664/2540 จำเลยเพียงแต่เกรงว่าผู้ตายจะชักปืนออกมายิง ทั้งที่ยังไม่มีพฤติการณ์ที่ส่อว่าผู้ตายจะชักปืนออกมายิงทำร้ายจำเลย และไม่ปรากฏว่าผู้ตายมีอาวุธปืน จึงถือว่ายังไม่มีภยันตรายที่จำเลยจำต้องป้องกันแต่อย่างใด การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นการป้องกันตามกฎหมาย และคำพิพาษาฎีกา 33/2510 จำเลยรู้ตัวว่าผู้ตายจะเข้ามาหาจำเลย จำเลยห้ามและเตรียม ปืนไว้เพื่อยิงผู้ตาย ผู้ตายมาเคาะประตูห้องนอนเรียกให้เปิดประตู  ผู้ตายจะก้าวเข้ามา จำเลยพูดว่าไม่ต้องเข้ามาและยิงปืนไปทันที ดังนี้ เห็นว่าผู้ตายไปหาจำเลยจำเลยตามที่เคยกระทำมา แม้จำเลยจะห้ามก็ไม่ทำให้ผู้ตายเข้าอในว่าเป็นการจริงจัง  เมื่อผู้ตายไปหาจำเลยก็เคาะประตูเรียก หาใช่ใช้กำลังดึงดันจะเข้าไปให้ได้ไม่ จะว่าเป็นการประทุษร้ายอันผิดกฎหมายหาได้ไม่ หากจำเลยไม่คิดฆ่านายเหรียญผู้ตาย เพียงแต่ไม่เปิดประตูและแสดงความไม่ยินยอมให้เห็นอย่างจริงจัง ผู้ตายก็คงยังเข้าไปทำอันตรายแก่จำเลยไม่ได้ แต่จำเลยกลับเปิดประตูห้องซึ่งเป็นธรรมดาที่ผู้ตายจะต้องเข้าไป พอผู้ตายเข้าไปจำเลยก็ยิงทันที การกระทำของจำเลยไม่เป็นการป้องกันสิทธิตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68


ภัยอันเป็นการละเมิดต่อกฎหมาย หมายถึง ผู้ก่อภัยนั้นไม่มีอำนาจตามกฎหมายที่จะทำได้ หากมีอำนาจทำได้ ไม่สามารถอ้างป้องกันได้ เช่น กรณีผู้กระทำไม่มีอำนาจ ตามคำพิพากษาฎีกาที่ 2353/2530 กรณีที่มิใช่เป็นการกระทำผิดซึ่งหน้าที่ ราษฎรย่อมไม่มีอำนาจตามกฎหมายหมายที่จะจับกุมผู้กระทำผิด ดังนั้น การที่ ช.กับผู้ตายซึ่งเป็นเพียงราษฎร จะเข้าจับกุมจำเลยภายหลังเกิดเหตุจำเลยทำร้ายผู้อื่นแล้ว จำเลยย่อมมีสิทธิป้องกัน เพื่อให้พ้นจากการที่จะต้องถูกจับได้ แต่การที่จำเลยใช้เหล็กขูดชาฟท์แทงผู้ตายที่หน้าอกส่วนล่างใต้นมเหนือชายโครงซ้าย และผู้ตายถึงแก่ความตายในคืนเกิดเหตุนั้นเอง แสดงว่าจำเลยแทงโดยแรง และเป็นที่เห็นได้ว่าจำเลยเลือกแทงที่อวัยวะสำคัญโดยไม่ปรากฏว่า ช. กับผู้ตายมีอาวุธ หรือแสดงอาการในลักษณะที่จะทำร้ายจำเลย นอกเหนือจากการกระทำเพื่อจับกุมเลย การกระทำของจำเลยจึงเป็นการป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ



แต่หากเป็นกรณีผู้กระทำมีอำนาจกระทำได้ตามกฎหมาย เช่น คำพิพากษาฎีกาที่ 668/2489 พลตำรวจเข้าไปห้ามปรามผู้ด่าว่าอาละวาด แต่ผู้นั้นไม่ยอมฟัง พลตำรวจเชิญไปสถานีตำรวจก็ไม่ยอมไป ดังนี้พลตำรวจมีอำนาจจับกุมผู้นั้นได้ ถ้าผู้นั้นฆ่าเจ้าพนักงานก็เป็นผิดฐานฆ่าเจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่ตาม ม.250 (2) (ผู้ฆ่าเจ้าพนักงานไม่อาจอ้างป้องกันได้ เพราะพลตำรวจมีอำนาจรักษาความสงบเรียบร้อยได้ตามกฎหมาย)



คำพิพากษาฎีกาที่ 1830/2493 สามีภรรยาทะเลาะกัน แล้วสามีใช้มีดฟันภรรยา ๆ ร้องให้ชู้ช่วย ชู้จึงเข้ามาเอามีดฟันสามีที่ศีรษะ 3 ทีติดกันโดยไม่ยั้งมือ ซึ่งแต่ละแผลแตกแยกถึงมันสมองไหล อาจถึงตายในทันทีได้ทุกแผล และโดยไม่ปรากฎว่า ระหว่างการฟันครั้งที่ 2-3 นั้น สามียังทำร้ายภรรยาอยู่ต่อไปหรือไม่ เช่นนี้ ถือว่าการกระทำของชู้ เป็นการป้องกันภรรยา แต่เป็นการป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ


คำพิพากษาฎีกาที่ 378/2479 “การทำชู้ของภริยานั้น จะเป็นการสำเร็จรูป ต้องมีชายชู้มาร่วมด้วย การที่ภริยามีชู้นั้น ถือว่าเป็นการเสื่อมเสียเกียรติยศของสามีอย่างร้ายแรง ฉะนั้นเมื่อผู้เป็นสามี ฆ่าภริยาและชายชู้ตาย ขณะร่วมประเวณีกัน จึงถือว่าเป็นการป้องกันเกียรติยศพอสมควรแก่เหตุ” ในคดีนี้มีข้อน่าพิจารณาในส่วนของการป้องกันที่ศาลเหตุผลว่า เป็นการกระทำป้องกันเกียรติยศพอสมควรแก่เหตุนั้น เป็นเหตุผลที่สมควรยกเว้นความผิดฐานฆ่าคนตายได้หรือไม่ เพราะเป็นการชั่งน้ำหนักระหว่างชื่อเสียงกับชีวิตคน

คำพิพากษาฎีกาที่ 249/2515 จำเลยเห็นผู้ตายกำลังชำเราภริยาจำเลยในห้องนอน แม้ภริยาจำเลยจะมิใช่ภริยาที่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ก็อยู่กินกันมา 13 ปี และเกิดบุตรด้วยกัน 6 คน จำเลยย่อมมีความรักและหวงแหน การที่จำเลยใช้มีดพับเล็กที่หามาได้ในทันทีทันใด แทงผู้ตาย 2 ที และแทงภริยา 1 ที ถือว่าจำเลยกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะ ในคดีนี้ข้อเท็จจริงต่างจากคำพิพากษาฎีกาที่ 378/2479 เพราะเป็นมาฆ่าภริยาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงไม่มีความชอบธรรมในการจะป้องกันชื่อเสียงเกียรติยศของตนเอง แต่กฎหมายก็เห็นใจว่าการกระทำดังกล่าวย่อมเป็นการข่มเหงอันเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ


ผู้ที่จะอ้างป้องกันได้ต้องไม่มีส่วนในการก่อภยันตรายนั้นขึ้นมาด้วย เพราะการป้องกันเป็นการกระทำที่กฎหมายมองว่า มีความชอบธรรมที่จะกระทำได้ แต่หากผู้กระทำเข้าไปมีส่วนในการก่อภัยนั้นขึ้นมา ความชอบธรรมที่มีก็หมดไปทันที เช่น คำพิพากษาฎีกาที่ 1665/2543 จำเลยโกรธโจทก์ร่วมที่ไม่ยอมลงชื่อรับหนังสือจากจำเลย และด่าโจทก์ร่วมว่า "ไอ้ลูกหมา" พร้อมกับผลักโต๊ะใส่ แล้วเข้ากอดปล้ำต่อสู้กัน ถือว่าจำเลยเป็นผู้ก่อเหตุกับสมัครใจทะเลาะวิวาท จึงไม่อาจอ้างว่ากระทำไป เพื่อป้องกัน เพราะการป้องกันโดยชอบตาม ป.อ. มาตรา 68 ต้องเป็นกรณีที่ผู้ถูกกระทำฝ่ายเดียวก่อน จึงได้กระทำไปเพื่อป้องกันสิทธิของตนเอง











***คำพิพากษาฎีกาที่  8347/2554  ก่อนเกิดเหตุผู้เสียหายมีเรื่องทะเลาะโต้เถียงกับจำเลยซึ่งนั่งดื่มสุราอยู่ที่ร้านใกล้ที่เกิดเหตุ  จึงเชื่อว่าเป็นสาเหตุให้จำเลยไม่พอใจผู้เสียหายเป็นอย่างมาก ในวันเกิดเหตุเมื่อผู้เสียหายออกจากร้านไปแล้ว  ผู้เสียหายร้องตะโกนท้าทายจำเลยให้ออกไป จะฟันให้คอขาด จำเลยจึงรีบวิ่งไปหาผู้เสียหาย ถือได้ว่าจำเลยสมัครใจเข้าวิวาทและต่อสู้กับผู้เสียหาย และเป็นการกระทำที่จำเลยเข้าสู้ภัยทั้งที่ยังไม่มีภยันตรายมาถึงตน จึงเป็นการกระทำโดยที่ไม่มีกฎหมายให้อำนาจไว้ แม้ผู้เสียหายจะทำร้ายจำเลยก่อน ก็เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นขณะที่จำเลยกับผู้เสียหายสมัครใจวิวาทกัน  ดังนั้น จำเลยจึงไม่อาจที่จะอ้างสิทธิป้องกันได้ตามกฎหมาย และแม้จำเลยมีความไม่พอใจผู้เสียหายเป็นอย่างมาก แต่เมื่อจำเลยสมัครใจที่จะไปต่อสู้กับผู้เสียหายเองก็ไม่อาจถือได้ว่าจำเลยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม จำเลยจึงไม่อาจอ้างเหตุบันดาลโทสะได้เช่นเดียวกัน การกระทำของจำเลยไม่เป็นการกระทำเพื่อป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย และไม่เป็นการกระทำโดยเหตุบันดาลโทสะ


***คำพิพากษาฎีกาที่  6964/2555  อาวุธปืนที่จำเลยที่ 2 ใช้ยิงเป็นอาวุธปืนลูกซองสันขนาด 12 ซึ่งเครื่องกระสุนปืนที่ใช้กับอาวุธปืนดังกล่าวเป็นกระสุนปราย เมื่อยิงแล้วจะกระจายออก หากเล็งไปที่จุดอื่นเช่นพื้นถนนซึ่งตามภาพถ่ายสถานที่เกิดเหตุหมาย จ. 20 ภาพที่ 3 แสดงว่าเป็นถนนที่ไม่ได้ลาดยาง กระสุนปืนย่อมฝังที่พื้นถนนหรือมิฉะนั้นก็ปะทะกับพื้นถนนทำให้ไม่มีอนุภาพเพียงพอที่จะแฉลบไปถูกผู้เสียหายที่ 1 จนกระดูกแตกได้ การที่กระสุนปรายถูกผู้เสียหายทั้งสองมีบาดแผลคนละแห่ง แสดงว่าจำเลยที่ 2 เล็งอาวุธปืนและยิงไปที่ผู้เสียหายทั้งสอง แต่จำเลยที่ 2 ยิงเพียง 1 นัดแล้วไม่ได้ยิงซ้ำอีก ทั้งบาดแผลของผู้เสียหายทั้งสองก็ไม่ใช่อวัยวะสำคัญ เชื่อว่าจำเลยที่ 2 มีเจตนายิงทำร้ายผู้เสียหายทั้งสอง มิใช่เจตนาฆ่าผู้เสียหายทั้งสอง



จำเลยที่ 2 กับพวกสมัครใจทะเลาะวิวาทชกต่อยกับผู้เสียหายทั้งสองกับพวกถึง 2 ครั้ง โดยครั้งหลังสุดผู้เสียหายทั้งสองกับพวกมีจำนวนมากกว่า จำเลยที่ 2 กับพวกจึงขับรถจักรยานยนต์หลบหนีและผู้เสียหายทั้งสองกับพวกขับรถจักรยานยนต์ตามไป และเมื่ออยู่ห่างประมาณ 7 ถึง 8 เมตร ก็ถูกจำเลยที่ 2 ใช้อาวุธปืนยิง ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ต่อเนื่องจากการทะเลาะวิวาท หาใช่เป็นการกระทำที่ขาดตอนจากกันไม่ และเมื่อเป็นการสมัครใจทะเลาะวิวาททำร้ายร่างกายซึ่งกันและกัน จึงไม่ใช่เป็นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายที่จำเลยที่ 2 จะอ้างว่าการกระทำเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ทั้งไม่ใช่เป็นการข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมที่จำเลยที่ 2 จะอ้างว่ากระทำไปเพราะเหตุบันดาลโทสะได้




        คำพิพากษาฎีกาที่ 2285/2528 (ผู้ตายกำลังชักปืน แม้ยังไม่ถึงเป็นความผิด (ยังไม่ถึงขั้นลงมือ คือเล็ง หรือพร้อมจะยิงได้) โดยไม่ต้องรอให้ถูกยิง หรือมือถึงไกปืน ก็ยิงป้องกันได้) ผู้ตายมาพูดขอแบ่งวัวจากจำเลย จำเลยไม่ยอมแบ่ง และชวนให้ไปตกลงกันที่บ้านผู้ใหญ่บ้านหรือที่บ้านกำนัน แต่ผู้ตายไม่ยอมไป กลับชักปืนออกมาจากเอว จำเลยย่อมเข้าใจว่าผู้ตายจะใช้ปืนยิงจำเลย อันเป็นภยันตราย ซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดกฎหมาย และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึงการที่จำเลยใช้ปืนยิงผู้ตายไป 1 นัด และผู้ตายถึงแก่ความตาย จึงเป็นการป้องกันสิทธิของตนพอสมควรแก่เหตุ การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย จำเลยไม่มีความผิด



        คำพิพากษาฎีกาที่ 2176/2540 การที่ผู้เสียหายเมาสุราไม่เชื่อฟังมารดา พูดจาท้าทายจำเลย และถือมีดปลายแหลมซึ่งใบมีดยาวถึง 17 เซนติเมตร เดินไปตบหน้าภริยาจำเลยที่หน้าประตูห้องน้ำ ในขณะที่จำเลยอยู่ในห้องน้ำและอยู่ห่างกันเพียง 1 วา ไม่มีทางที่จำเลยจะหลบหนีไปทางใดได้ บุคคลที่อยู่ในภาวะเช่นจำเลย ต้องเห็นว่าผู้เสียหายมีเจตนาจะทำร้ายจำเลย โดยใช้มีดที่ถือมาแทงจำเลยอย่างแน่นอน และอาจถึงแก่ความตายได้ จึงเป็นภยันตรายที่เกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง การที่จำเลยเปิดประตูห้องน้ำออกมาแล้วใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายเพียง 1 นัด แล้วหลบหนี จึงเป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุ



        ภยันตรายที่ใกล้จะถึงนั้นจะเริ่มและสิ้นสุดลงคือช่วงเวลาในการป้องกันได้ การอ้างป้องกันจึงเริ่มตั้งแต่ภยันตรายนั้นใกล้จะถึง รวมถึงตลอดระยะเวลาที่ภัยนั้นได้มาถึงตัวผู้รับภัยแล้ว ก่อนที่ภยันตรายนั้นได้สิ้นสุดลง เช่น คำพิพากษาฎีกาที่8345/2544 ก่อนเกิดเหตุขณะอยู่ในงานเลี้ยงที่บ้าน ป. ผู้ตายกับจำเลยมีเหตุทะเลาะจะทำร้ายกันเรื่องเล่นการพนันไฮโลว์ แต่มีคนห้ามไว้และให้จำเลยกลับบ้าน จำเลยจึงขับรถจักรยานยนต์ออกจากบ้าน ป. เพื่อกลับบ้านต่อมาผู้ตายได้ออกตามไป ซึ่งแสดงว่าผู้ตายตามไปหาเรื่องจำเลยจนเกิดเหตุเป็นคดีนี้ การที่ผู้ตายตามไปทันจำเลยระหว่างทางพร้อมกับพูดทำนองว่าตายไปข้างหนึ่งและเข้าไปชกต่อยแล้วชักมีดออกมาจากข้างหลังจะแทงทำร้ายจำเลยก่อนเช่นนี้ จำเลยย่อมมีสิทธิป้องกันตนเองได้ ถึงแม้จำเลยจะแย่งมีดจากมือผู้ตายได้แล้วก็มิใช่ว่าภยันตรายที่จะเกิดแก่จำเลยจากผู้ตายได้ผ่านพ้นหรือสิ้นสุดไปแล้ว เพราะผู้ตายมีรูปร่างสูงใหญ่และกำยำกว่าจำเลยซึ่งขาข้างซ้ายพิการใส่ขาเทียม โอกาสที่ผู้ตายจะแย่งมีดคืนจากจำเลยก็ยังมีอยู่ ซึ่งหากผู้ตายแย่งมีดคืนจากจำเลยมาได้ก็น่าเชื่อได้ว่าผู้ตายจะต้องแทงทำร้ายจำเลยได้รับอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ มิฉะนั้นผู้ตายคงไม่ตามไปหาเรื่องจำเลยอีก ส่วนเหตุการณ์ในขณะที่แทงนั้นนับได้ว่าเป็นช่วงฉุกละหุก ประกอบกับขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางคืนจำเลยไม่น่าจะมีโอกาสเลือกแทงผู้ตายตรงบริเวณอวัยวะที่สำคัญได้ถนัดชัดเจน ดังนี้ แม้จำเลยจะแทงผู้ตายถูกที่บริเวณราวนมด้านซ้ายทะลุถึงหัวใจอันเป็นอวัยวะที่สำคัญเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายที่โรงพยาบาลในเวลาต่อมา ก็เป็นพฤติการณ์ที่ฟังได้ว่าเป็นการกระทำที่พอสมควรแก่เหตุที่จำต้องกระทำเพื่อป้องกันในสถานการณ์เช่นนั้นการกระทำของจำเลยจึงเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68



ผู้รับภัยไม่จำเป็นต้องหลบหนีภัยที่ใกล้จะถึงนั้น แม้ว่าหากหลบหนีเสียก็จะพ้นภัยก็ตาม เช่น คำพิพากษาฎีกาที่ 94/2492 ผู้ตายอายุ 30 ปี ร่างใหญ่กว่าจำเลย จำเลยอายุ 19 ปี ผู้ตายมีไฟฉายและมีดพกอยู่ที่ตัวก่อเหตุผลักจำเลยแล้วชกจำเลย จำเลยใช้มีแทงสวนไปถูกผู้ตายถึงแก่ความตาย เป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุ “โจทก์ฎีการับในข้อนายเล้ง เป็นผู้ก่อเหตุ แต่เถียงว่าวิสัยคนดีต้องหนี เมื่อจำเลยไม่หนีกลับแทงนายเล้ง จำเลยชอบที่จะต้องรับโทษ หาใช่เป็นการป้องกันตัวไม่ โจทก์ฎีกาดั่งนี้ แต่ถ้าคิดกลับไปอีกทางหนึ่ง จำเลยถูกนายเล้งเหยียดหยาม และข่มเหงถึงขนาดนี้แล้วเอาแต่หนี ก็แสดงความขลาด การใช้สิทธิป้องกันตัวสมควรแก่เหตุจึงไม่มีโทษ”



คำพิพากษาฎีกาที่ 169/2504 ผู้ตายบุกรุกเข้าไปจะทำร้ายจำเลย จนถึงบ้านจำเลย จึงใช้ปืนยิงเอา เพราะถ้าไม่ยิง ผู้ตายก็จะฟันจำเลย ดังนี้ ถือว่าเป็นการป้องกันชีวิตพอสมควรแก่เหตุ แม้จำเลยจะเห็นผู้ตายอยู่ก่อน และอาจหลบหนีไปได้ แต่ก็ไม่มีความจำเป็นที่ผู้มีสิทธิครอบครองเคหสถานโดยชอบ จะต้องหนีผู้กระทำผิดกฎหมาย



แม้จะเป็นการป้องกันภยันตรายไว้ล่วงหน้าก็สามารถทำได้ เช่น คำพิพากษาฎีกาที่ 1923/2519 จำเลยเก็บของไว้ในโรงเก็บของในสวนของจำเลย ตำบลที่เกิดเหตุมีคนร้ายชุกชุม ผู้ตายกับพวกบุกรุกเข้าไปในเวลาวิกาล โดยเจตนาจะลักทรัพย์ ถูกเส้นลวดที่จำเลยขึง ปล่อยกระแสไฟฟ้าไว้ในโรงเก็บของ ถึงแก่ความตาย จำเลยมีสิทธิทำร้ายผู้ตายกับพวกเพื่อป้องกันทรัพย์สินได้ เป็นการป้องกันสิทธิพอสมควรแก่เหตุ ไม่มีความผิด


แต่หากการป้องกันไว้ล่วงหน้านั้นไม่ใช่ผู้ที่เป็นผู้ก่อภยันตรายขึ้นก็ไม่สามารถอ้างป้องกันได้ เช่น คำพิพากษาฎีกาที่ 32/2510 ผู้ตายเรียนหนังสืออยู่ที่วัดละหาร ซึ่งจำเลยเป็นครูอยู่ ทั้งเป็นเด็กหญิงและเป็นหลานของจำเลย มีบ้านอยู่ติดกับบ้านของจำเลย เมื่อจำเลยขึงลวดเส้นเดียวและเล็กไว้ในบริเวณบ้าน และปล่อยกระแสไฟฟ้าให้แล่นไปตามลวดนั้น เมื่อเวลาจวนสว่างผู้ตายเข้าไปในเขตรั้วบ้านจำเลย และมาถูกสายไฟของจำเลยเข้าถึงแก่ความตาย ดังนี้ จึงถือไม่ได้ว่าการกระทำของจำเลยดังกล่าวเป็นการป้องกันสิทธิของตนโดยชอบด้วยกฎหมาย จำเลยจึงมีความผิดฐานทำให้คนตายโดยไม่มีเจตนา (คดีนี้ผู้ตายคือคนที่เข้าไปปัสวะถูกกระแสไฟฟ้าดูด)



คำพิพากษาฎีกาที่ 1999/2511 กรณีจำเลยใช้เส้นลวดที่ไม่มีวัตถุใด ๆ ห่อหุ้มขึงทางด้านบนของรั้วไม้โรงภาพยนตร์ของจำเลย แล้วปล่อยกระแสไฟฟ้า 220 โวลท์ ไปตามเส้นลวดนั้น เพื่อป้องกันมิให้คนข้ามรั้วเข้าไปลอบดูภาพยนตร์ทางรูฝาโรงภาพยนตร์ เป็นการกระทำที่จำเลยมิได้เจตนาฆ่า แต่เจตนาทำร้ายผู้อื่น จนเป็นเหตุให้ผู้นั้นถึงแก่ความตาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290 มิใช่กระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย









การกระทำโดยป้องกันต้องกระทำต่อผู้ก่อภัยขึ้น แม้จะพลาดไปถูกบุคคลที่ 3 ก็ยังเป็นป้องกันอยู่ เช่น คำพิพากษาฎีกา 205/2516 ผู้ตาย ผู้เสียหาย และจำเลย ร่วมดื่มสุราด้วยกันจนเมา แล้ว ผู้ตายกับจำเลยทะเลาะกัน  ผู้เสียหายจึงชวนจำเลยกลับบ้าน ผู้ตายตามมาต่อยและเตะจำเลยจนล้มลุกขึ้นก็ยังถูกเตะอีกเมื่อผู้ตายเตะ จำเลยก็ใช้มีดปลายแหลมที่ติดตัวไปแทงสวนไปสองสามครั้งถูกผู้ตาย ระหว่างนั้นผู้เสียหายเข้าขวางเพื่อห้าง จึงถูกมีดได้รับบาดเจ็บ ส่วนผู้ตายถึงแก่ความตาย การกระทำของจำเลยต่อผู้ตายเป็นการกระทำโดยป้องกันพอสมควรแก่เหตุ แม้จะพลาดไปถูกผู้เสียหายเข้าด้วย ซึ่งตามมาตรา 60 ประมวลกฎหมายอาญา จะถือว่าจำเลยมีเจตนาแทงผู้เสียหายก็ดี แต่การกระทำของจำเลยก็เป็นผลสืบเนื่องมาจากจำเลยแทงผู้ตาย  เพื่อป้องกันสิทธิพอสมควรแก่เหตุ อันไม่เป็นความผิด จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้เสียหายด้วย





ตามมาตรา 69 “ในกรณีที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 67 และ มาตรา 68 นั้น ถ้าผู้กระทำได้กระทำไปเกินสมควรแก่เหตุ หรือเกินกว่ากรณีแห่งความจำเป็นหรือเกินกว่ากรณีแห่งการจำต้องกระทำเพื่อป้องกัน ศาลจะลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้แต่ถ้าการกระทำนั้นเกิดขึ้นจากความตื่นเต้นความตกใจหรือความกลัว ศาลจะไม่ลงโทษผู้กระทำก็ได้”















        คำพิพากษาฎีกาที่ 943/2508 คนร้ายจูงกระบือไปจากใต้ถุนเรือนจำเลย เมื่อเวลาประมาณ 24 นาฬิกา จำเลยร้องถาม คนร้ายหันปืนมาทางจำเลย จำเลยจึงยิงปืนไปจากบนเรือน 2 นัด ถูกคนร้ายตาย จำเลยเคยถูกลักกระบือมาแล้วครั้งหนึ่ง และหมู่บ้านนั้นมีการลักกระบือกันเสมอดังนี้ การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันสิทธิของตนให้พ้นภยันตรายพอสมควรแก่เหตุ จำเลยจึงไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68 / จำเลยต่อสู้ว่า จำเลยกระทำเพื่อเป็นการฟ้องกันเท่ากับจำเลยปฏิเสธว่าไม่ได้กระทำผิด จึงเป็นหน้าที่ของโจทก์ที่จะนำสืบว่าจำเลยได้ยิงผู้ตายถึงแก่ความตายโดยเจตนา ไม่ใช่เป็นเรื่องที่จำเลยกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตน



        คำพิพากษาฎีกาที่  555/2530 ผู้ตายบุกรุกเข้าไปฉุดคร่าบุตรสาวจำเลยถึงในบ้านของจำเลย เมื่อจำเลย ซึ่งเป็นมารดาเข้าขัดขวางห้ามปรามกลับถูกผู้ตายทำร้ายจนล้มลง แล้วผู้ตายจะพาบุตรสาวจำเลยออกจากบ้านไป   การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายในเวลาฉุกละหุกกะทันหัน 4 นัด เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย โดยจำเลยกระทำไปเพื่อช่วยเหลือบุตรของตนให้พ้นภยันตรายที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าและภยันตรายนั้น  ยังเกิดขึ้นต่อเนื่องกันอยู่ไม่มีทางเลือกที่จะป้องกันด้วยวิธีการอื่นการกระทำของจำเลยจึงเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68





       (2) ผู้ป้องกันได้กระทำโดยป้องกันโดยได้สัดส่วนกับภยันตราย ตามทฤษฏี “สัดส่วน” เช่น คำพิพากษาฎีกาที่ 873/2521  ส.ใช้ไม้เหลี่ยมยาว 1 ศอกตีจําเลย จำเลยใช้ปืนยิง 2 นัด  ส.ตายเป็นป้องกันเกินกว่าเหตุ   แม้จำเลยให้การปฏิเสธว่าไมได้ยิง หน้าทีโจทก์นำสืบตามฟ้อง เมื่อได้ความว่าจำเลยยิงป้องกัน แต่เกินกว่าเหตุ ศาลลงโทษและลดโทษได้










กรณีภัยที่ผ่านพ้นไปแล้ว เช่น พิพากษาฎีกาที่ 1542/2509 จำเลยกับพวกเจ้าทรัพย์ติดตามเรือที่ถูกลักไป ไปพบผู้ตายกับพวกอยู่ใกล้ ๆ กับเรือที่ถูกลักนั้น ผู้ตายใช้ปืนลูกกรดยิงจำเลย แต่ไม่ถูก จำเลยยิงผู้ตายข้างหลัง 1 นัด การที่จำเลยยิงผู้ตาย เมื่อผู้ตายหนีจากเรือไป 12 วา ปืนที่ผู้ตายใช้ยิงเป็นปืนลูกกรด เป็นการกระทำเกินกว่ากรณีแห่งการจำต้องกระทำเพื่อป้องกัน


***คำพิพากษาฎีกาที่  10584/2555  ผู้ตายจะใช้อาวุธปืนยิงจำเลย จำเลยเข้าไปแย่งอาวุธปืน กระสุนปืนถูกผู้ตายที่มือขวาและหน้าผาก แพทย์ผู้ตรวจศพผู้ตายให้การว่าไม่พบเขม่าดินปืนที่หน้าผากของผู้ตาย รายงานการตรวจพิสูจน์ก็ระบุตรงกันว่าไปพบเขม่าดินปืนที่มือขวา เมื่อผู้ตายใช้มือขวาข้างถนัดของตนกำด้ามปืนไว้ในขณะที่จำเลยเข้ามาแย่งอาวุธปืน หากกระสุนปืนจากอาวุธปืนดังกล่าวเกิดลั่นขึ้นดังที่จำเลยนำสืบจากการเข้ากอดปล้ำแย่งอาวุธในระยะประชิดตัวระหว่างจำเลยกับผู้ตาย ย่อมต้องมีเขม่าดินปืนติดอยู่ที่บริเวณมือขวาและหน้าผากของผู้ตาย เมื่อพิจารณารายงานการชันสูตรบาดแผลหรือสภาพศพระบุว่ากระสุนปืนเข้าฝ่ามือขวาระหว่างนิ้วกลางกับนิ้วนางแล้วทะลุด้านหลังมือของผู้ตาย หากมือขวาของผู้ตายยังกำด้ามปืนอยู่ขณะจำเลยเข้าแย่งอาวุธปืนกระสุนปืนที่ลั่นออกจะถูกมือขวาของผู้ตายได้อย่างไร แสดงว่าขณะผู้ตายถูกกระสุนปืนที่มือขวานั้น ผู้ตายไม่ได้ถืออาวุธปืนดังกล่าว ฉะนั้นกระสุนปืนจึงไม่ได้ลั่นออกไปขณะจำเลยเข้าไปแย่งอาวุธปืนจากมือของผู้ตาย หากแต่เมื่อจำเลยเข้าแย่งอาวุธปืนจากมือของผู้ตายไปได้แล้ว จึงใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายถูกที่มือขวาและหน้าผาก แม้จะได้ความว่าผู้ตายเป็นฝ่ายเอาอาวุธปืนของตนซึ่งพกพาติดตัวขึ้นมายังไม่ได้ลั่นกระสุนปืนใส่จำเลย แต่จำเลยเข้าแย่งอาวุธปืนดังกล่าวไปได้เสียก่อน ทั้งไม่ปรากฎว่าผู้ตายมีอาวุธอื่นใดติดตัวมาอีก และได้ทำร้ายร่างกายจำเลยอีกเช่นนี้ ภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายจากการกระทำของผู้ตายผ่านพ้นไปแล้วและไม่มีภยันตรายที่ใกล้จะถึงตัว พฤติการณ์ที่จำเลยใช้อาวุธปืนที่แย่งจากมือผู้ตายมาได้แล้วจึงยิงผู้ตายเช่นนี้ ถือไม่ได้ว่าการกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันสิทธิโดยชอบด้วยกฎหมาย



Sunday 6 July 2014

กฎหมายอาญา : ผู้สนับสนุน (accessory)

 ผู้สนับสนุน



 Accessory ในทางอาญาไม่ได้หมายถึง เครื่องประดับ หรือของตกแต่งตามความหมายทั่วไปนะครับ ในทางอาญาคำว่า accessory หมายถึงผู้สนับสนุนการกระทำความผิด ซึ่งอยู่ในประมวลกฎหมายอาญา ม.86 ส่วนในทางแพ่ง accessory หมายถึงอุปกรณ์ (ในเรื่องกฎหมายทรัพย์ ทรัพย์ประธาน ทรัพย์อุปกรณ์)

          ผู้สนับสนุนในทางอาญา ถือเป็นผู้มีส่วนร่วมในการกระทำความผิด (parties to crime) แม้จะไม่ใช่ผู้ที่ลงมือกระทำความผิดอาญาด้วยตนเองก็ตาม แต่ก็มีความรับผิดร่วมกับผู้กระทำความผิดได้ สาเหตุที่ต้องรับผิดร่วมไปกับเขานั้นเพราะการกระทำของผู้สนับสนุนเองที่ได้ให้การช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทำความผิด ซึ่งกฎหมายถือว่าเป็นการกระทำที่ทำให้ผู้กระทำความผิดสามารถกระทำความผิดได้สำเร็จหรือสะดวกขึ้น 

         เช่น การให้ยืมอาวุธ การให้ยืมพาหนะไปใช้ในการกระทำความผิด เป็นการกระทำที่ทำให้การกระทำความผิดของผู้ลงมือสำเร็จหรือสะดวกขึ้นนั้นเอง

        โดยปรกติการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกนั้นอาจเกิดขึ้นก่อน หรือหลังการกระทำความผิดก็ได้ แต่ในตามกฎหมายอาญาของไทยเอาผิดเฉพาะบุคคลที่ช่วยเหลือก่อนลงมือกระทำผิดหรือขณะกระทำความผิดเท่านั้น (ในประมวลกฎหมายอาญา ม. 86 ผู้ใดกระทำด้วยประการใด ๆ อันเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทำความผิดก่อน หรือขณะกระทำความผิด


          
การจะเป็นผู้สนับสนุนได้มีหลักการสำคัญอยู่ดังนี้

          1. ต้องมีการกระทำอันเป็นการช่วยเหลือ(assist) หรือให้ความสะดวก (facility)

          2. ได้ให้ความช่วยเหลือหรือความสะดวกก่อน(before) หรือขณะกระทำความผิด (late time of committing)

          3. แม้ผู้กระทำผิดจะไม่ได้รู้ถึงการช่วยเหลือนั้นก็ตาม


มีข้อสังเกตเกี่ยวกับผู้สนับสนุนหลายประการดังนี้

          (1) การช่วยเหลือแม้ผู้กระทำความผิด (Participator) จะไม่ได้รู้ถึงการช่วยเหลือเลยก็ถือเป็นผู้สนับสนุนแล้ว เช่น นายแดงเจตนาจะไปยิงนายดำ แต่ปืนของตนเองถูกขโมยไปแล้วโดยที่นายแดงไม่ทราบ นายฟ้ารู้ว่านายแดงจะไปยิงดำก็อยากช่วยนายแดงให้ฆ่านายดำได้สำเร็จ จึงเอาปืนของตนเองไปไว้ที่บ้านของนายแดง นายแดงเห็นปืนเข้าใจว่าเป็นปืนของตนเองใช้ปืนนั้นยิงนายดำตาย
          ดังนี้นายฟ้าได้ช่วยเหลือนายแดงให้กระทำความผิด แม้นายแดงจะไม่รู้ถึงการช่วยเหลือนายฟ้าก็เป็นผู้สนับสนุน

          (2) หากได้ช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่ผู้กระทำความผิดแล้ว แต่ผู้กระทำความผิดไม่ได้ประโยชน์จากการช่วยเหลือนั้นเลย ก็ไม่ถึอว่าเป็นผู้สนับสนุน เช่น จากตัวอย่างในข้อสังเกตที่ (1) นายแดงไม่ได้เอาปืนของนายฟ้าไปยิงนายดำ แต่ได้ไปซื้อปืนมาใหม่เพื่อยิงนายดำ ดังนี้นายแดงไม่ได้ประโยชน์จากการช่วยเหลือของนายฟ้า นายฟ้าจึงไม่ใช่ผู้สนับสนุน

           (3) จะเป็นผู้สนับสนุนได้ ผู้กระทำความผิดต้องได้กระทำถึงขั้นลงมือแล้ว หากไม่ได้กระทำถึงขั้นลงมือ เช่น ฟ้าให้แดงยืมปืนเพื่อนำไปยิงนายดำ แต่เมื่อแดงไปเห็นหน้าดำ สงสารจึงไม่ได้ยิง ดังนี้นายฟ้ายังไม่เป็นผู้สนับสนุน ซึ่งแตกต่างจากความรับผิดของผู้ใช้ (Instigator) ที่ได้ใช้แล้วมีความผิดรับโทษหนึ่งในสามทันที

......................................................................
เฉลิมวุฒิ สาระกิจ
อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา







กฎหมายอาญาภาคทั่วไป
เฉลิมวุฒิ สาระกิจ
www.mebmarket.com
กฎหมายอาญาเบื้องต้น คำอธิบายกฎหมายอาญา ภาคทั่วไป อ่านเข้าใจง่าย ใช้เวลาไม่นานในการอ่านก็เข้าใจกฎหมายอาญาได้



108 คำถามกฎหมายอาญา
เฉลิมวุฒิ สาระกิจ
www.mebmarket.com
หนังสือ 108 คำถามกฎหมายอาญา เล่มที่ 1 (ภาคทั่วไป) จัดทำขึ้นมาโดยผู้เขียนประสงค์จะให้นิสิต นักศึกษำ รวมถึงผู้ที่สนใจกฎหมายอาญาภาคทั่วไปได้ทบทวนความรู้เกี่ยวกับ กฎหมายอำญาภาคทั่วไป ซึ่งคำถามทั้งหมดครอบคลุมเนื้อหา กฎหมายอำญาภาคทั่วไป เป็นการเรียนกฎหมายอาญาโดยอาศัยการถามตอบ เมื่ออ่านครบแล้วจะทำให้เข้าใจกฎหมายอาญา โดยที่ไม่รู้สึกเหมือนอ่านตำรา


ความผิดต่อชีวิตและร่างกาย
เฉลิมวุฒิ สาระกิจ
www.mebmarket.com
คำอธิบายกฎหมายอาญาภาคความผิด ความผิดต่อชีวิตและร่างกาย เช่น ความผิดฐานฆ่าคนตายโดยเจตนา ความผิดฐานฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา ความผิดฐานฆ่าคนตายโดยประมาท ความผิดฐานทำร้ายร่างกาย ความผิดฐานทำร้ายร่างกายสาหัส




ถามตอบวิอาญา เล่ม 1
เฉลิมวุฒิ สาระกิจ
www.mebmarket.com
ถามตอบวิอาญา เนื้อหากระบวนยุติธรรมทางอาญาก่อนถึงชั้นศาล หลักการสำคัญในทางอาญา ขั้นตอนการดำเนินคดีอาญา ผู้เสียหาย อำนาจสอบสวน อำนาจฟ้องคดี การระงับคดีอาญา การจับ ขัง จำคุก ค้น ปล่อย

กฎหมายสำหรับสอบตำรวจ
เฉลิมวุฒิ สาระกิจ
www.mebmarket.com
หนังสือเล่มนี้มีลักษณะเป็นคำอธิบายกฎหมาย ไม่ใช่หนังสือเรียบเรียงกฎหมายที่มีแต่ตัวบทกฎหมาย พระราชบัญญัติ เนื้อหาครอบคลุม 3 วิชาหลักสำหรับการสอบตำรวจ คือ กฎหมายอาญาภาคทั่วไป กฎหมายอาญาภาคความผิด กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และกฎหมายพยานหลักฐาน