ว่าด้วยเรื่องตัวการ
(Principal)
โดย เฉลิมวุฒิ สาระกิจ
อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา
ในการกระทำความผิดอาญาฐานใดหนึ่งนั้นอาจมีบุคคลเข้ามาเกี่ยวข้องในการกระทำความผิดหลายคน
ซึ่งอาจเข้ามาเกี่ยวข้องเพราะเป็นผู้ที่ลงมือกระทำความผิดด้วยตนเอง หรือเป็นผู้ที่ได้ร่วมลงมือกระทำความผิด
หรือเป็นผู้ที่ให้การช่วยเหลือผู้กระทำความผิด
หรือเข้ามาเกี่ยวข้องเพราะเป็นผู้ที่ใช้ให้ผู้อื่นกระทำความผิด ซึ่งเรียกบุคคลเหล่านี้ว่า
“ผู้มีส่วนร่วมในการกระทำความผิด (Parties to Crime)”
แนวความคิดเกี่ยวกับความรับผิดทางอาญาของผู้มีส่วนร่วมในการกระทำความผิดของไทย
หรือที่เราคุ้นเคยว่า เรื่อง ตัวการ ผู้ใช้ ผู้สนับสนุน ได้รับอิทธิพลของแนวความคิดกฎหมายอาญาของระบบกฎหมายคอมมอนลอว์
ในเรื่อง Parties to Crime
ซึ่งตามกฎหมายอาญาของคอมมอนลอว์ได้แยกประเภทของผู้มีส่วนร่วมในการกระทำความผิดเอาไว้
4 ประเภทด้วยกัน คือ
1. Principal
in the first degree
2. Principal
in the second degree
3. Accessory
before the fact
4. Accessory
after the fact
ในเรื่องของ Parties
to Crime นี้กฎหมายอาญาของคอมมอนลอว์ ได้แยกตัวการออกเป็น 2 ประเภท คือ ตัวการที่เป็น first degree กับตัวการที่เป็น
second degree ซึ่งเป็นการแยกตามลักษณะของการกระทำความผิด
ส่วนผู้สนับสนุน (Accessory) ก็แยกออกเป็น 2 ประเภทเช่นเดียวกันซึ่งไม่ได้แยกตามลักษณะของการช่วยเหลือ
เพราะทั้งสองประเภทเป็นการกระทำช่วยเหลือที่มีลักษณะเดียวกัน
แต่แยกโดยอาศัยเวลาที่ให้การช่วยเหลือผู้กระทำความผิด
หากช่วยเหลือก่อนลงมือกระทำความผิดก็เรียกว่า Accessory before the fact และหากช่วยเหลือหลังจากลงมือกระทำความผิดไปแล้วก็เรียกว่า Accessory
after the fact
แต่ในที่นี้จะขออธิบายเกี่ยวกับตัวการ
(Principal) ว่าตัวการที่กฎหมายอาญาของคอมมอนลอว์แยกออกมาเป็น 2 ประเภท เป็น first degree กับ second degree นั้นแตกต่างกันอย่างไร
1. Principal
in the first degree
หมายถึง
บุคคลผู้ซึ่งกระทำความผิดด้วยตัวของเขาเอง (the person who
actually commits the crime himself)
หรือตามคำอธิบายกฎหมายอาญาของไทยเรียกว่า ผู้กระทำความผิดโดยตรง นอกจากนี้ยังหมายถึงบุคคลผู้ซึ่งเป็นสาเหตุให้ผู้ที่บริสุทธิ์กระทำความผิดเพื่อตัวของเขา
(causes an innocent person to commit the crime for him)
ซึ่งตามคำอธิบายกฎหมายอาญาของไทยเรียกว่า ผู้กระทำความผิดโดยอ้อม ดังนั้นตัวการที่เรียกว่า Principal in the first degree ก็คือผู้กระทำความผิดโดยตรงกับผู้กระทำผิดโดยอ้อมตามกฎหมายอาญาไทยนั้นเอง
เช่น
ตัวอย่างที่
1
แดงไปหาซื้อปืนเถื่อนมา และนำปืนที่ซื้อมานั้นไปชิงทรัพย์ในร้านสะดวกซื้อ
จะเห็นได้ว่า แดงเป็นผู้ที่กระทำความผิดด้วยตัวของเขาเอง แดงจึงเป็น Principal
in the first degree หรือผู้กระทำความผิดโดยตรง
ตัวอย่างที่
2
แดงต้องการลักร่มของนายดำ
แต่แดงไม่กล้าหยิบเองจึงหลอกนายขาวว่า ช่วยหยิบร่มที่วางอยู่ใกล้ ๆ ตัวของนายขาวให้หน่อย
โดยบอกกับนายขาวว่าเป็นร่มของแดงเอง ทั้งที่ร่มเป็นของดำ
เช่นนี้ถือได้ว่าแดงนั้นได้ใช้ผู้บริสุทธิ์ (Innocent Agent) เป็นเครื่องมือในการกระทำความผิด ก็ถือว่าแดงเป็น Principal
in the first degree เช่นเดียวกับตัวอย่างที่ 1 ซึ่งตามคำอธิบายกฎหมายอาญาของไทยเรียกว่า ผู้กระทำความผิดโดยอ้อม
2. Principal
in the second degree
หมายถึง
บุคคลผู้ซึ่งกระทำอันเป็นการสนับสนุนหรือช่วยเหลือผู้กระทำความผิดในการลงมือกระทำความผิด
และเป็นผู้ที่อยู่ด้วยหรืออยู่ใกล้พอที่จะให้การช่วยเหลือผู้ที่ลงมือกระทำความผิดได้ในเวลาที่จะกระทำความผิดหรือในเวลาที่ก่ออาชญากรรม
ซึ่งตามคำอธิบาย Principal in the
second degree ของกฎหมายอาญาของคอมมอนลอว์นี้ก็คือ
หลักในเรื่องตัวการร่วมในตาม ม.83 ของประมวลกฎหมายอาญาของไทยนั่นเอง
เช่น
ตัวอย่างที่ นายแดงได้สมคบกับนายดำเพื่อวางแผนว่าจะไปชิงทรัพย์ธนาคารแห่งหนึ่งในเวลาเที่ยงวัน
เมื่อถึงวันเกิดเหตุนายแดงเป็นค้นเข้าไปในธนาคารใช้ปืนขู่ให้พนักงานส่งเงินสดให้
ส่วนนายดำอยู่ในรถซึ่งสตาร์ทอยู่หน้าธนาคารไว้รอรับนายแดงเพื่อหลบหนี
จะเห็นว่านายแดง คือ Principal in the
first degree หรือผู้กระทำความผิดโดยตรง ส่วนนายดำเรียกว่า Principal
in the second degree หรือตัวการตาม ม.83
พิจารณาตัวการในความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราตาม
ม.276
ตัวอย่างที่
1
นายแดงร่วมกับนายดำฉุดนางขาวไปเพื่อข่มขืนกระทำชำเรา
โดยที่นายแดงเพียงคนเดียวเป็นคนที่กระทำชำเรานางขาว
ส่วนนายดำช่วยจับแขนและเอามืออุดปากนางขาวในขณะที่นายแดงได้ชำเรานางขาว ตามตัวอย่างนี้จะเห็นว่า
แดงเป็นผู้ที่ลงมือกระทำชำเรานางขาว ถือว่าแดงเป็น Principal in
the first degree หรือผู้กระทำความผิดโดยตรง
ส่วนดำไม่ได้ลงมือกระทำชำเราด้วย แต่ได้กระทำอันเป็นการสนับสนุนหรือช่วยเหลือ
และอยู่ด้วยในคณะที่แดงกระทำความผิด ถือว่าดำเป็น Principal in the second
degree หรือเป็นตัวการร่วมตาม ม.83 ดังนั้นในกรณีนี้แดงมีความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราตาม
ม.276 วรรคแรก ดำเป็นตัวการก็ต้องรับโทษเช่นเดียวกับแดงด้วย
ตัวอย่างที่
2
นายแดงร่วมกับนายดำฉุดนางขาวไปเพื่อข่มขืนกระทำชำเรา
โดยที่นายแดงข่มขืนกระทำชำเรานางขาวเสร็จแล้ว นายดำก็ได้กระทำชำเรานางขาวต่อจนสำเร็จ
จะเห็นได้ว่าตามตัวอย่างที่ 2
นี้ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการกระทำนั้นแตกต่างจากตัวอย่างที่ 1
เพราะนายแดงคือ Principal in the first degree ส่วนนายดำก็คือ
Principal in the first degree เช่นเดียวกัน เพราะได้ลงมือข่มขืนกระทำชำเรานางขาวเช่นเดียวกับนายแดง
ดังนั้นดำตามตัวอย่างที่ 2 จึงไม่ใช่ตัวการตาม ม.83 ซึ่งในความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราของไทยนั้น หากได้ร่วมกระทำความผิดด้วยกันอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงหรือชาย
จะต้องถูกลงโทษหนักขึ้นด้วย ดังนั้นการร่วมกระทำความผิดด้วยกันอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงหรือชาย
ก็หมายความว่า การข่มขืนกระทำชำเรานั้นจะต้องมี Principal in the first
degree อย่างน้อย 2
คนได้กระทำชำเราหญิงหรือชายนั่นเอง
บทสรุป
เรื่องตัวการตาม ม.83 นั้น
ในปัจจุบันยังคงใช้กันอย่างสับสน เมื่อเห็นว่ามีผู้กระทำความผิด 2 คนก็จะวินิจฉัยว่าทั้งสองคนเป็นตัวการร่วมกันตาม ม.83 โดยที่ไม่ได้แยกว่าใครเป็น Principal in the first degree หรือใครเป็น Principal in the second
ซึ่งเหตุผลหนึ่งที่เราไม่ได้แยกพิจารณาเพราะเห็นว่าโทษของผู้กระทำความผิดทั้ง 2 ประเภทเท่ากันจึงไม่ต้องไปพิจาณาว่าใครเป็น Principal in the
first degree หรือใครเป็น Principal in the second ให้ยุ่งยากอีก