Wednesday 30 April 2014

ผู้กระทำความผิด (Participater)




          ความรับผิดในทางอาญา โดยหลักแล้วเป็นความรับผิดในการกระทำของตนเอง  การกระทำอันเป็นความผิดอันนั้นนำมาซึ่งความรับผิดและต้องรับโทษ ซึ่งเราแยกพิจารณาผู้กระทำความผิดในทางอาญาออกเป็น 3 กรณีด้วยกัน

          1. ผู้กระทำความผิดด้วยตนเอง ความรับผิดเกิดจากการกระทำของตนเอง เช่น เป็นคนเอาขวดตีหัวคนอื่น ขับรถชนคนอื่นเอง

          2. ผู้กระทำความผิดโดยอ้อม ความรับผิดเกิดจากการใช้บุคคลที่ไม่มีเจตนากระทำความผิดเป็นเครื่องมือในการกระทำความผิด

         3. ผู้มีส่วนร่วมในการกระทำความผิด ความรับผิดกรณีนี้เกิดจากการเจตนาเข้าไปมีส่วนร่วมในฐานะเป็นตัวการ ผู้ใช้ ผู้สนับสนุน ในการกระทำความผิด เมื่อมีส่วนร่วมก็ต้องสมควรได้รับโทษ

        แล้วในทางอาญาความรับผิดในการกระทำของบุคคลอื่นมีได้หรือไม่

        ความรับผิดในการกระทำของบุคคลอื่น (Vicarious liability) เป็นทฤษฎีความรับผิดในทางละเมิด ที่ทำให้เกิดความรับผิดต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในการทำละเมิดของบุคคลอื่น โดยที่ผู้ต้องรับผิดร่วมนั้นไม่มีความผิดเลย แต่เพราะฐานะหรือความสัมพันธ์บางอย่าง เช่น เป็นนายจ้างกับลูกจ้าง เมื่อลูกจ้างทำละเมิดในทางการที่จ้างนายจ้างต้องรับผิดร่วมกับลูกจ้าง โดยที่นายจ้างไม่ต้องจงใจหรือประมาทใดๆเลย

         ความรับผิดในการกระทำของบุคคลอื่น (Vicarious liability) ก็ปรากฎในกฎหมายอาญาเช่นกัน ดังจะเห็นได้จาก ป.อ.มาตรา 213 ถ้าสมาชิกอั่งยี่หรือซ่องโจรคนหนึ่งคนใดได้กระทำความผิดตามความมุ่งหมายของอุ่งยี่หรือซ่องโจรนั้น สมาชิกอั่งยี่หรือซ่องโจรที่อยู่ด้วยในขณะกระทำความผิด หรืออยู่ด้วยในที่ประชุมแต่ไม่ได้คัดค้านในการตกลงกระทำความผิดและบรรดาหัวหน้า ผู้จัดการ หรือมีตำแหน่งหน้าที่ในอั่งยี่หรือซ่องโจรนั้น ต้องระวางโทษ...

         จะเห็นว่ามาตรานี้ผู้ที่ต้องรับผิดไม่ได้มีส่วนร่วมในการกระทำผิดด้วย ไม่ได้เป็นตัวการ ผู้ใช้ หรือผู้สนับสนุน แต่ต้องรับผิดเพราะฐานะบางอย่างเช่น เป็นหัวหน้า ผู้จัดการ หรือเป็นสมาชิก

         เมื่อมีสมาชิกอื่นในอั่งยี่หรือซ่องโจรได้ไปกระทำความผิดตามความมุ่งหมายของอั่งยี่หรือซ่องโจร คนที่ไม่ได้กระทำก็ต้องรับผิดกับเขาด้วย เป็นความรับผิดในการกระทำของบุคคลอื่น


.............................
เฉลิมวุฒิ สาระกิจ
อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา

Friday 18 April 2014

ความผิดฐานทอดทิ้งเด็ก คนป่วยเจ็บหรือคนชรา









คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1599/2511 เมื่อรูปคดีฟังได้ว่า จำเลยคลอดบุตรออกมาแล้วไม่ขอความช่วยเหลือใคร ไม่บอกให้ใครทราบ จำเลยได้ดึงสายสะดือเด็กจนขาด แล้วทิ้งรกลงในส้วมและลาดน้ำล้างโลหิตจนหมด เอาเด็กวางไว้ในอ่างปัสสาวะ เปิดน้ำไหลลาดท่วมตัว ทำให้น้ำเข้าปากและปอดเด็ก แล้วเด็กนั้นตายเพราะปอดบวมในวันรุ่งขึ้น ถือได้แล้วว่าเป็นการที่จำเลยกระทำโดยรู้สึกในการที่กระทำนั้น และจำเลยย่อมเล็งเห็นผลได้ว่า การทำดังนี้ เด็กบุตรของจำเลยอาจตายได้ ประกอบกับเหตุที่จำเลยทำไปทั้งนี้ก็เพราะจำเลยไม่ต้องการบุตรคนนี้ จึงเป็นการกระทำโดยเจตนาฆ่า ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 59 วรรคสอง



Saturday 5 April 2014

ความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่น ควรเป็นความผิดอาญาอันยอมความไม่ได้จริงหรือ?



ความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่น 
ควรเป็นความผิดอาญาอันยอมความไม่ได้จริงหรือ?


มีปัญหาที่ถกเถียงกันมาตลอดนะครับ ว่าความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่น ซึ่งในประมวลกฎหมายอาญาได้กำหนดให้เป็นความผิดอันยอมความได้หรือความผิดต่อส่วนตัว

ทั้งๆหากพิจารณาดู ความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราเกิดขึ้นบ่อยมาก มีความร้ายแรงและมีผลกระทบต่อผู้เสียหายมากมาย ทั้งร่างกาย ชื่อเสียง สังคม และที่กระทบมากที่สุด คือ จิตใจ

ในเมื่อมันร้ายแรงและส่งผลกระทบมากมายขนาดนี้ เหตุใด ไม่กำหนดให้ความผิดฐานนี้เป็นความผิดอันยอมความไม่ได้ เป็นอาญาแผ่นดินไปเสียเลย เพื่อจะให้ผู้กระทำความผิดมันถูกจับกุมดำเนินคดีให้หมด โดยที่ไม่ต้องรอให้ผู้เสียหายไปแจ้งความร้องทุกข์ก่อนจึงจะดำเนินคดีได้

ก่อนอื่นขออธิบายให้เห็นความแตกต่างของความผิดทั้งสองประเภทก่อนนะครับ

1) ความผิดอันยอมความได้

ความผิดอันยอมความได้ หรือความผิดต่อส่วนตัว หมายถึง คดีอาญาประเภทซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายต่อเอกชนคนหนึ่งคนใดเป็นส่วนตัว มิได้ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐหรือสังคมเป็นและความผิดใดจะเป็นความผิด อาญาอันยอมความได้นั้น กฎหมายจะต้องระบุไว้ชัดเจนว่าเป็นความผิดอันยอมความได้ เช่น ความผิดฐานยักยอก ฉ้อโกง หมิ่นประมาท ทำให้เสียทรัพย์ อนาจาร ข่มขืนกระทำชำเรา ออกเช็คโดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงิน เป็นต้น

ความผิดอาญาอันยอมความได้นี้เจ้าพนักงานของรัฐจะดำเนินคดีได้ก็ต่อเมื่อผู้ เสียหายร้องทุกข์ (แจ้งความ) ต่อเจ้าพนักงานตามกฎหมายเสียก่อน และต้องร้องทุกข์ภายในกำหนด 3 เดือน นับแต่วันที่รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำผิด สำหรับคดีความผิดอันยอมความได้นี้ หากผู้เสียหายไม่ประสงค์จะดำเนินคดีกับผู้ต้องหาต่อไป ก็สามารถถอนคำร้องทุกข์ ถอนฟ้อง หรือยอมความได้ ซึ่งก็จะเป็นผลให้คดีดังกล่าวระงับไป

2) ความผิดอาญาอันยอมความไม่ได้

ความผิดอาญาอันยอมความไม่ได้ หรือความผิดอาญาแผ่นดิน หมายถึง คดีอาญาประเภทที่นอกจากจะทำให้เกิดความ เสียหายแก่ผู้เสียหายโดยตรงแล้ว ยังก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐและสังคมโดยส่วนรวมอีกด้วย ความผิดอาญานอกจากที่กฎหมายระบุไว้ชัดเจนว่าเป็นความผิดอันยอมความ ได้แล้ว จะเป็นความผิดอาญาแผ่นดินทั้งสิ้น เช่น ความผิดฐานลักทรัพย์ วิ่งราวทรัพย์ ชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์ ทำร้ายร่างกาย ฆ่าคนอื่น วางเพลิงเผาทรัพย์ ขับรถประมาท เป็นต้น ซึ่งความผิดอาญาแผ่นดินนี้ แม้ผู้เสียหายไม่ติดใจดำเนินคดีกับผู้กระทำผิด ก็ไม่ทำให้คดีระงับ เจ้าพนักงานของรัฐก็สามารถดำเนิน คดีกับผู้กระทำผิดต่อไปได้ โดยที่ผู้เสียหายไม่จำเป็นต้องร้องทุกข์ก่อนแต่อย่างใด

ล้วอะไรคือความแตกต่างของความผิดทั้งสองประเภท

1. ความผิดอันยอมความได้นั้นส่งผลเสียหายต่อเอกชน ไม่ได้ส่งผลเสียหายต่อสังคมโดยรวม

2. ความผิดอันยอมความได้ ถือความประสงค์ของผู้เสียหายเป็นหลักในการดำเนินคดี หากผู้เสียหายไม่ประสงค์จะดำเนินคดี เจ้าพนักงานก็จะดำเนินคดีไม่ได้ ส่วนความผิดอาญาแผ่นดิน ไม่ต้องอาศัยความประสงค์ของผู้เสียหาย

ความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเรา สมควรเป็นความผิดอันยอมความได้ เพราะเหตุใด

1. ความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเรา เป็นความผิดที่มุ่งคุ้มครองเสรีภาพทางเพศ ที่จะไม่มีใครมาบังคับให้ใครกระทำชำเราใครได้ เป็นเรื่องของความยินยอม หากยินยอมไม่มีความผิด แต่หากฝืนใจกันเมื่อไหร่จะมีความผิดทันที

เสรีภาพทางเพศจึงเป็นเรื่องของเอกชนแต่ละคน ไม่ใช่เรื่องของสังคมส่วนร่วม การละเมิดเสรีภาพของเอกชน จึงไม่กระทบต่อสังคมโดยรวม

2. ความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเรานั้นผู้ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด คือ ผู้เสียหาย ดังนั้นควรให้ผู้เสียหายเป็นผู้ตัดสินใจว่า จะประสงค์จะดำเนินคดีตามกฎหมายหรือไม่ เพราะผู้เสียหายบางคนอาจไม่ประสงค์จะดำเนินคดี เพราะกลัวเสียชื่อเสียงไม่อยากเป็นเรื่องราว เป็นข่าว กฎหมายจึงให้ ผู้เสียเป็นคนตัดสินใจ

บุคคลอื่นที่ไม่ใช่ผู้เสียหาย ไม่ควรจะเข้าไปตัดสินใจแทน แม้จะเป็นเจ้าหน้าที่ เพราะเหตุว่า ไม่อาจเข้าใจถึงความต้องการของผู้เสียหายได้และเป็นเสรีภาพของผู้เสียหาย

3. การที่กฎหมายบัญญัติให้เป็นความผิดอันยอมความได้ เปิดช่องให้ผู้เสียหายสามารถไกล่เกลี่ยหรือประนีประนอมกับผู้กระทำความผิดได้ เพราะผู้กระทำความผิดฐานนี้ ส่วนใหญ่เป็นคนที่อยู่ใกล้ชิดผู้เสียหาย เช่น เป็นสามีภรรยา เป็นแฟนหรือคนรัก เป็นเพื่อน เป็นคนในครอบครัว เป็นญาติกัน

หากผู้เสียหายได้รับการเยียวยาหรือมีการไกล่เกลี่ยจนผู้เสียหายพอใจ ไม่ประสงค์จะดำเนินคดี ก็สามารถทำได้ แต่หากผู้เสียหายไม่ต้องการไกล่เกลี่ยหรือยอมความ ประสงค์จะดำเนินคดีให้ถึงที่สุดก็สามารถทำได้เช่นกัน โดยที่บุคคลอื่นๆ ไม่สามารถมาบังคับให้ยอมได้

หากว่ามีการแก้ไขให้ความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราเป็นความผิดอาญาแผ่นดิน ยอมความไม่ได้ จะมีผลอย่างไรต่อผู้เสียหาย

1. ผู้เสียหายต้องเข้าสู่กระบวนยุติธรรมทางอาญาในฐานะผู้เสียหาย ต้องมีการสอบปากคำ ตรวจร่างกาย เก็บพยานหลัก เป็นพยานในชั้่นศาล ตรงนี้ถ้าผู้เสียหายประสงค์จะดำเนินคดี คงไม่มีปัญหา แต่สำหรับผู้เสียหายที่ไม่ประสงค์จะเข้าสู่กระบวนยุติธรรม แต่ก็ต้องฝืนใจไปให้ปากคำ ไปให้ตรวจร่างกาย ไปเป็นพยานในชั้นศาล

2. หากผู้กระทำความผิดกับผู้เสียหายเป็นคนใกล้ชิดกัน เช่น สามีภรรยาซึ่งอาจจะไม่ได้สมรสกันตามกฎหมาย หรือเป็นแฟน เพื่อน คนในครอบครัว ญาติ ต่อมามีการไกล่เกลี่ยหรือยอมความกัน ผู้เสียหายไม่ประสงค์จะดำเนินคดีต่อไป จะไม่มีช่องให้เกิดการยุติการดำเนินคดีได้เลย

3. ผู้ที่เกี่ยวข้องในกระบวนยุติธรรม เช่น เจ้าหน้าที่ตำรวจ พนักงานสอบสวน ต้องดำเนินคดีอาญาอย่างไม่มีทางเลือก ซึ่งจะเป็นผลดีต่อผู้เสียหายที่ประสงค์จะดำเนินคดีอยู่แล้ว เพราะเจ้าหน้าที่จะไม่สารถไกล่เกลี่ย ซึ่งสามารถป้องกัน เจ้าหน้าที่ที่กระทำโดยไม่ชอบ เช่น พยายามไกล่เกลี่ยให้ผู่เสียหายยอมความเพื่อช่วยเหลือผู้กระทำความผิด


ขอสรุป เป็นความเห็นส่วนตัวในเรื่องนะครับ

ความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเรา ควรให้ที่เขาเสียหายเป็นคนตัดสินใจ ว่าเขาประสงค์จะดำเนินคดีหรือไม่ หากเขาไม่ประสงค์จะดำเนินคดีต้องเกิดขึ้นด้วยความสมัครใจ ไม่ใช่เกิดขึ้นเพราะถูกผู้เสียหายข่มขู่ หรือกลัวที่จะเข้าสู่กระบวนยุติธรรมเพราะกลัวว่า ผู้ที่เกี่ยวข้องในกระบวนยุติธรรมจะไม่เก็บเป็นความลับ มีการทำข่าวให้เสียหาย

หากเขาประสงค์จะดำเนินคดี ก็ต้องมีกระบวนยุติธรรมที่มีประสิทธิภาพ เก็บความลับได้ เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องต้องไม่กระทำการอันเป็นการช่วยเหลือผู้กระทำผิด เช่น พยายามไกล่เกลี่ยช่วยผู้กระทำผิด และให้ความคุ้มครองผู้เสียหายจากการข่มขู

ความเห็นต่างคือความหลากหลาย และความหลากหลายมันทำให้โลกเรามีสีสัน


.................................
เฉลิมวุฒิ สาระกิจ
อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา

Thursday 3 April 2014

ความผิดฐานก่อการร้าย (Terrorism)

ก่อการร้าย (terrorism) ถือเป็นภัยคุกคามต่อมวลมนุษยชาติที่กำลังแพร่หลาย และมีแนวโน้มขยายตัวมากขึ้น 
 มีการจี้เครื่องบินพาณิชย์เข้าชนตึกเวิลเทรดเซนเตอร์
ในมหานครนิวยอร์ก ประเทศสหรับอเมริกา

ความหมายของการก่อการร้าย

          การหนดความหมาย (Definition) ของการก่อการร้ายเป็นปัญหาซ้อนปัญหา ยากที่จะกำหนดความหมายหรือคำนิยามได้อย่างชัดเจน ซึ่งผู้ที่ได้ให้ความหมายไว้ โดยส่วนใหญ่ก็ยังมีความแตกต่างกัน อย่างเช่นความหมายของการก่อการร้ายดังต่อไปนี้


Definition of Terrorism
          ใน U.S. Code of federal Regulation การก่อการร้าย (Terrorism) “เป็นการใช้กำลังและความรุนแรงโดยผิดกฎหมายต่อบุคคลหรือทรัพย์สินเพื่อขู่เข็ญหรือบังคับ รัฐบาล ประชาชน พลเมือง หรือในกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งโดยมีวัตถุประสงค์ทางการเมืองหรือสังคม

          Walter Laqueurw ได้ให้ความหมายไว้ดังนี้ การก่อการร้ายเป็นการใช้กำลังประทุษร้าย เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ทางการเมืองหรือสังคม

          กระทรวงกลาโหมของสหรัฐอเมริกา การก่อการร้ายเป็นการใช้ความรุนแรงอันละเมิดทางกฎหมายเพื่อให้เกิดความหวาดกลัวโดยมีเจตนาในการบังคับหรือขู่เข็ญรัฐบาล หรือชุมชนพลเมือง เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ทางการเมือง ศาสนา หรือตามลัทธิความเชื่อของตน

          Grant wardlaw  เป็นการกระทำหรือขู่เข็ญว่าจะกระทำความรุนแรงโดยบุคคลหรือกลุ่มคน ไม่ว่าจะกระทำในนามเจ้าหน้าที่หรือต่อต้านเจ้าหน้าที่ ถ้าได้กระทำให้เกิดความกลัวต่อกลุ่มเป้าหมายในวงกว้าง โดยมีความมุ่งหมายเพื่อบังคับกลุ่มเป้าหมายนั้นไปสู่ความต้องการในทางการเมืองของผู้กระทำความผิดนั้น

ความหมายของการก่อการร้ายในประเทศไทย ตาม ป.อ. มาตรา 135/1-135/4

          เจตนารมณ์ของการบัญญัติ คุณธรรมที่กฎหมายมุ่งคุ้มครอง คือ ความสงบสุขของประชาชนความหมายของการก่อการร้ายของไทย เป็นการกระทำความผิดโดย

ภาพความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย
          1. ใช้กำลังประทุษร้ายหรือกระทำการใดอันก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย หรือเสรีภาพของผู้อื่น
          2. ทำให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อโครงสร้างพื้นฐานอันเป็นประโยชน์สาธารณะ
          3. ทำให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สิน ไม่ว่าของรัฐ บุคคลใด หรือแก่สิ่งแวดล้อมโดยเป็นการกระทำ เพื่อขู่เข็ญหรือบังคับรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นประเทศใดหรือองค์กรระหว่างประเทศ หรือสร้างความหวาดกลัวในหมู่ประชาชน


          ลักษณะของการกระทำที่ถือว่าเป็นการก่อการร้ายพิจารณาจากหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้

          1. Target: เป้าหมายในการกระทำความผิดมุ่งไปยังประชาชนผู้บริสุทธิ์ ไม่ได้เจาะจงกระทำต่อกลุ่มคนใดคนหนึ่ง

          2. Object : วัตถุประสงค์ของการก่อการร้าย ทำให้เกิดความกลัวต่อประชาชนพลเมือง เช่น เหตุการณ์ 9/11 และไม่ใช่การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ (Genocide)

          3. Motive: มูลเหตุชักจูงใจ ส่วนใหญ่กระทำโดยมีมูลเหตุจูงใจทางการเมืองหรือศาสนา ไม่ใช่มูลเหตุจูงใจส่วนตัว

          4. Legitimacy: ความชอบด้วยกฎหมาย รัฐที่ชอบด้วยกฎหมายไม่อาจกระทำการอันเป็นการก่อการร้ายในประเทศตนเองได้ การกระทำของรัฐแม้จะกระทำต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์แต่ก็ไม่ใช่ก่อการร้าย แต่เป็นอาชญากรรมส่งครามหรืออาชญากรรมต่อมวลมนุษยชาติ

ประเทศไทยกับการก่อการร้าย
          ประเทศไทยไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายของการก่อการร้าย แต่มีส่วนเกี่ยวข้องในฐานะที่เป็นประเทศที่มีผลประโยชน์เกี่ยวข้องกัน
          การก่อการร้ายในไทยปัจจุบันความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ การก่อการร้ายในประเทศไทยอดีต เผาศาลากลาง เผาโรงเรียนวางระเบิดสถานีรถไฟ เรียกค่าคุ้มครองhttp://www.youtube.com/watch?v=WLGO5wtenhE


          ปัจจุบัน ปล้นปืนที่เจาะไอร้อง มัสยิดกรือเซะ เหตุการณ์ตากใบ ฆ่าเจ้าหน้าที่ พระ ผู้พิพาษา ฆ่าชาวไทยพุธ

          ที่มาของการแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา ม.135/1-4 ปี 2546 มีการคุกคามก่อการร้าย(สามจังหวัดภาคใต้) เป็นการร่วมมือกับสหประชาชาติ UN เพื่อไม่ให้กลุ่มก่อการร้าย ใช้ประเทศไทยเป็นฐานก่อการร้ายและกบดาน

          ความผิดก่อการร้ายในประเทศไทย (พรก.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ.2546 โดยการ เพิ่ม ม. (1/1) ในมาตรา 7 และเพิ่ม ม.135/1 - 135/4


ความผิดก่อการร้ายในประเทศไทย
          มาตรา 135/1 ผู้ใดกระทำการอันเป็นความผิดอาญา ดังต่อไปนี้
                   (1) ใช้กำลังประทุษร้าย หรือกระทำการใดอันก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิต หรืออันตรายอย่างร้ายแรงต่อร่างกาย หรือเสรีภาพของบุคคลใดๆ
                   (2) กระทำการใดอันก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่ ระบบการขนส่งสาธารณะ ระบบโทรคมนาคม หรือโครงสร้างพื้นฐานอันเป็นประโยชน์สาธารณะ
                   (3) การกระทำการใดอันก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินของรัฐหนึ่งรัฐใด หรือของบุคคลใดหรือต่อสิ่งแวดล้อม อันก่อให้เกิดหรือน่าจะก่อให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างสำคัญ
          ถ้าการกระทำนั้นได้กระทำโดยมีความมุ่งหมายเพื่อขู่เข็ญหรือบังคับรัฐบาลไทย รัฐบาลต่างประเทศ หรือองค์การระหว่างประเทศ ให้กระทำหรือไม่กระทำการใดอันจะก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรง หรือเพื่อสร้างความปั่นป่วนเพื่อให้เกิดความหวาดกลัวในหมู่ประชาชน ผู้นั้นกระทำความผิดฐานก่อการร้าย ต้องระวางโทษประหารชีวิต จำคุกตลาดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่สามปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่หกหมื่นบาทถึงหนึ่งล้านบาท
          การกระทำในการเดินขบวน ชุมนุม ประท้วง โต้แย้ง หรือเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องให้รัฐช่วยเหลือ หรือให้ได้รับความเป็นธรรมอันเป็นการใช้เสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ ไม่เป็นการกระทำความผิดฐานก่อการร้าย
          ม.135/1 กำหนดถึงการกระทำความผิดอาญาฐานใดบ้างที่จะเป็นการก่อการร้ายบ้าง
          โดยที่ผู้กระทำต้องมีเจตนาพิเศษ เพื่อบังคับหรือขู่เข็ญรัฐบาลไทย รัฐบาลต่างประเทศหรือองค์กรระหว่างประเทศให้กระทำหรือไม่กระทำการใดอันจะก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรง
          เพื่อสร้างความปั่นป่วนเพื่อให้เกิดความหวาดกลัวในหมู่ประชาชน
ข้อยกเว้นของความผิดฐานก่อการก่อการร้าย
          การกระทำในการเดินขบวน ชุมนุม ประท้วง โต้แย้ง หรือเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องให้รัฐช่วยเหลือ หรือให้ได้รับความเป็นธรรมอันเป็นการใช้เสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ ไม่เป็นการกระทำความผิดฐานก่อการร้าย

มาตรา 135/2 ผู้ใด
          (1) ขู่เข็ญว่าจะกระทำการก่อการร้าย โดยมีพฤติการณ์อันควรเชื่อได้ว่าบุคคลนั้นจะกระทำการตามที่ขู่เข็ญจริง หรือ
          (2) สะสมกำลังพลหรืออาวุธ จัดการหรือรวบรวมทรัพย์สิน ให้หรือรับการฝึกการก่อการร้าย ตระเตรียมการอื่นใด หรือสมคบกัน เพื่อก่อการร้าย หรือกระทำความผิดใดๆ อันเป็นส่วนของแผนการเพื่อก่อการร้าย หรือยุยงประชาชนให้เข้ามีส่วนในการก่อการร้าย หรือรู้ว่ามีผู้ก่อการร้ายและกระทำการใดอันเป็นการช่วยเหลือปกปิดไว้
ผู้นั้นต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สองปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสี่หมื่นบาท
          มาตรา 135/3 ผู้ใดเป็นผู้สนับสนุนในการกระทำความผิดตาม มาตรา 135/1 หรือ มาตรา 135/2 ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับตัวการในความผิดนั้นๆ
          ถือเป็นข้อยกเว้น ม.86  ที่โดยหลักแล้วผู้สนับสนุนในการกระทำความผิดอาญาจะรับโทษเพียงแค่ 2 ใน 3
          มาตรา 135/4 ผู้ใดเป็นสมาชิกของคณะบุคคลซึ่งมีมติของหรือประกาศภายใต้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติกำหนดให้เป็นคณะบุคคลที่มีการกระทำ อันเป็นการก่อการร้ายและรัฐบาลไทยได้ประกาศให้ความรับรองมติหรือประกาศดังกล่าวด้วยแล้ว ผู้นั้นต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปีและปรับไม่เกินหนึ่งแสนสี่หมื่นบาท



การก่อการร้าย (Terrorism) กับความผิดทางการเมือง (Political Crime)

          ความผิดฐานก่อการร้าย (Terrorism) มีความคล้ายกับความผิดทางการเมือง (Political Crime) เพราะอาจมีมูลเหตุจูงใจ (Motive) ทางการเมืองเหมือนกัน

          แต่สิ่งที่แตกต่างกันจนเป็นเส้นแบ่งความผิดทั้งสองประเภทออกจากกัน คือ วัตถุที่ประสงค์ (Object) ความผิดทางการเมืองนั้นมุ่งกระทำเพื่อตอบโต้หรือคัดค้านรัฐบาลหรือฝ่ายที่ปกครองประเทศ แต่ความผิดฐานก่อการร้ายมุ่งกระทำให้ประชาชนเกิดความรู้สึกหวาดกลัว (Terror) ในหมูประชาชนด้วยกัน

          ความผิดฐานก่อการร้ายจึงมีลักษณะการกระทำที่รุนแรงและมีความโหดเหี้ยม เช่น การลอบวางระเบิด ระเบิดพลีชีพ ฆ่าตัดคอ เป็นต้น

          การชุมนุมประท้วงในประเทศ แม้จะมีมูลเหตุจูงใจทางการเมือง แต่ตราบใดที่ยังไม่ได้กระทำการใดที่จะก่อให้เกิดความหวาดกลัวต่อประชาชน ตราบนั้นก็ยังไม่ถือว่าเป็นการก่อร้ายได้ ความผิดของผู้ชุมนุมและแกนนำจึงเป็นเพียงแค่ความผิดทางการเมือง (Political Crime)



..........................................................
เฉลิมวุฒิ สาระกิจ, อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา

แหล่งข้อมูลอ้างอิง อัศวิน ศุกระศร, ความผิดฐานก่อการร้ายในประเทศไทย : มาตรการป้องกันและปราบปราม, วิทยานิพนธ์มหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 2546