Tuesday 28 April 2015

พยานหลักฐานในคดีอาญา (ชุดที่ 1)



               เราไม่มีทางจะทราบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในคดีอาญาได้ ไม่เหมือนกับการทำข้อสอบกฎหมายอาญาที่โจทย์หรือคำถามจะมีข้อเท็จจริงที่ครบถ้วนมาให้ เราเพียงแต่นำข้อเท็จจริงในโจทย์นั้นมาวินิจฉัยกับหลักกฎหมายให้ถูกต้อง ผิดถูกก็ว่ากันไป แต่ในการดำเนินคดีอาญาจริง ๆ กว่าข้อเท็จจริงจะปรากฏชัดเจนจนสามารถวินิจฉัยได้นั้นต้องมีการพิสูจน์ข้อเท็จจริงว่ามีการกระทำอันเป็นความผิดหรือไม่ โดยสิ่งที่สามารถพิสูจน์ข้อเท็จจริงได้ คือ พยานหลักฐาน (Evidence) ดังนั้นหากจะพิสูจน์ข้อเท็จจริง (Fact) ต้องอาศัยพยานหลักฐานในการพิสูจน์ ส่วนข้อกฎหมายนั้นไม่ต้องอาศัยพยานหลักฐานในการพิสูจน์ เป็นเรื่องที่ศาลสามารถใช้ดุลพินิจในการตัดสินปัญหาข้อกฎหมายได้เลย




               อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วหากเป็นปัญหาข้อกฎหมายนั้นไม่ต้องอาศัยพยานหลักฐานในการพิสูจน์ เพราะเป็นปัญหาที่ต้องนำตัวบทกฎหมายมาใช้ในการวินิจฉัยโดยมีข้อเท็จจริงที่ได้ฟังเป็นยุติแล้วเป็นฐาน เช่น ปัญหาเกี่ยวกับอำนาจฟ้อง ปัญหาเกี่ยวกับอายุความ ปัญหาว่าดำเนินกระบวนพิจารณาผิดกฎหมาย เป็นต้น แต่หากเป็นปัญหาข้อเท็จจริง (Fact) ต้องใช้พยานหลักฐานพิสูจน์ เช่น เกิดเหตุนายแดงเอามีดฟันนายดำจนนายดำทนพิษบาดแผลไม่ไหวจนถึงแก่ความตาย ในคดีนี้มีอะไรบ้างที่จะนำมาพิสูจน์ให้เห็นได้ว่านายแดงมีความผิด สิ่งที่นำมาพิสูจน์ให้เห็นว่านายแดงมีความผิดหรือบริสุทธ์ก็คือ พยานหลักฐานนั้นเอง














                                 




หลักการสำคัญการดำเนินคดีอาญา
General Principle of Criminal Procedure

1. แนวความคิดเกี่ยวกับทฤษฎีรูปแบบของกระบวนยุติธรรมทางอาญา[2]

               รัฐ (State) ที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย เป็นรัฐที่ต้องเคารพสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ประชาชนย่อมมีสิทธิและเสรีภาพในการดำเนินชีวิต อย่างเสรี เว้นแต่บางกรณี บางเรื่องเท่านั้นที่ไม่สามารถจะทำได้ ซึ่งเรื่องที่ทำไม่ได้หรือห้ามนั้นถือเป็นข้อยกเว้นของระบอบการปกครองนี้ และการที่รัฐจะจำกัดสิทธิ เสรีภาพของประชาชน จะทำได้จะต้องมีกฎหมายให้อำนาจไว้เท่านั้นตามหลักนิติรัฐ(Legal state) เมื่อเกิดการละเมิดต่อกฎหมายที่รัฐห้ามแล้ว(เฉพาะคดีอาญา) รัฐจำเป็นจะต้องมีกระบวนการที่จะคุ้มครองความปลอดภัยและความสงบเรียบร้อยของประชาชนในรัฐไม่ให้ถูกกระทบกระเทือนจากการละเมิดต่อกฎหมายดังกล่าว ดังนั้นในแต่ละรัฐ จึงมีกระบวนการในการที่จะนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษ เพื่อคุ้มครองประชาชนคนอื่นๆ ให้ปลอดภัยจากการกระทำละเมิดกฎหมายอาญานั้น

              ในปัจจุบันนั้นมีแนวความคิดที่เกี่ยวกับการจัดรูปแบบของกระบวนการยุติธรรมทางอาญา มีอยู่ด้วยกัน 2 รูปแบบด้วยกัน คือ ทฤษฎีการควบคุมอาชญากรรม (Crime Control Model) และทฤษฎีความชอบด้วยกระบวนการทางกฎหมาย (Due Process Model) โดยแต่ละแนวนั้นมีความแตกต่างกันในแนวความคิดและมีความขัดแย้งกันคอยถ่วงดุล (balance ) กันอยู่

     1) ทฤษฎีการควบคุมอาชญากรรม (Crime Control Model)

              เป็นรูปแบบที่เน้นการส่งเสริมประสิทธิภาพของกระบวนการยุติธรรมทางอาญา โดยมุ่งควบคุม ระงับ และปราบปรามอาชญากรรมเป็นหลัก(ขั้นตอนในกระบวนการยุติธรรมนั้นต้องรวบรัด และมีประสิทธิภาพ) แม้การกระทำของเจ้าพนักงานในกระบวนการยุติธรรมนั้นจะกระทบกระเทือนต่อสิทธิ ของประชาชนก็ตาม แต่เพื่อประโยชน์ของสังคมโดยส่วนรวมแล้วย่อมทำได้ เช่น ตำรวจเป็นผู้ออกหมายจับได้เอง มีอำนาจในการสืบสวนและสอบสวนคดีอย่างมาก เพื่อให้มีประสิทธิภาพในการนำตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษนั้นเอง
              รูปแบบนี้จะเน้นไปที่การควบคุมและปราบปรามอาชญากรรมอย่างเต็มที่ ส่วนเรื่องการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของบุคคลนั้นเป็นเรื่องรองลงไป เช่น กระบวนการในการได้พยานหลักฐานมานั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่หากว่าพยานหลักฐานนั้นสามารถที่จะพิสูจน์ถึงความผิดของจำเลยได้ ศาลก็อาจจะรับฟังได้ เพื่อลงโทษจำเลย

     2. ทฤษฎีความชอบด้วยกระบวนการทางกฎหมาย (Due Process Model)
              รูปแบบนี้เป็นรูปแบบที่ยึดหลักกฎหมายเป็นสำคัญ และเป็นรูปแบบที่ยึดการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน ซึ่งเป็นไปตามหลักนิติธรรม (Rule of Law) ที่ถือค่านิยมในเรื่องกระบวนการยุติธรรมตามขั้นตอนต่าง ๆ ในกระบวนการต้องชอบด้วยกฎหมาย และต่อต้านการใช้อำนาจรัฐโดยมิชอบซึ่งมักจะเกิดจากการที่รัฐมุ่งที่จะควบคุมอาชญากรรมโดยไม่คำนึงถึงสิทธิของประชาชน เป็นเหตุให้สิทธิและเสรีภาพของประชาชนถูกกระทบกระเทือนจากการปราบปรามอาชญากรรมของรัฐอย่างมาก
              ดังนั้นรัฐที่ยึดถือทฤษฎีความชอบด้วยกระบวนการทางกฎหมาย (Due Process Model) จึงต้องมีกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาที่เน้นหนักไปในทางที่คุ้มครองสิทธิและ เสรีภาพของผู้บริสุทธิ์มิให้ถูกล่างละเมิดโดยไม่เป็นธรรมจากเจ้าพนักงานของ รัฐ เช่น สิทธิของผู้เสียหาย สิทธิของผู้ถูกกล่าวหา สิทธิของจำเลย การค้น การจับจะต้องมีหมายซึ่งออกโดยศาล เป็นต้น
              และหากบางกรณีมีพยานหลักฐานชิ้นสำคัญในการที่จะพิสูจน์ความผิดของจำเลยได้ แต่หากว่ากระบวนการที่ได้มานั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย ก็ไม่อาจจะรับฟังเพื่อลงโทษจำเลยได้ แม้พยานหลักฐานนั้นเป็นพยานหลักฐานที่เกิดขึ้นโดยชอบก็ตาม

              ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาของไทยก็มีการนำหลักการของทั้ง 2 ทฤษฎีมาเป็นแนวทางในการบัญญัติเป็นกฎหมายด้วย
              มาตรา 78 "พนักงานฝ่ายปกครองหรือ ตำรวจจะจับผู้ใดโดยไม่มีหมายจับหรือคำสั่งของศาลนั้นไม่ได้ เว้นแต่
                        (1) เมื่อบุคคลนั้นได้กระทำ ความผิดซึ่งหน้าดังได้บัญญัติไว้ใน มาตรา 80
                        (2) เมื่อพบบุคคลโดยมีพฤติ การณ์อันควรสงสัยว่าผู้นั้นน่าจะก่อเหตุร้ายให้เกิดภยันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินของผู้อื่น โดยมีเครื่องมือ อาวุธ หรือวัตถุอย่างอื่นอันสามารถอาจใช้ในการกระทำความผิด
                        (3) เมื่อมีเหตุที่จะออกหมายจับบุคคลนั้นตาม มาตรา 66 (2) แต่มีความจำเป็นเร่งด่วนที่ไม่อาจขอให้ศาลออกหมายจับบุคคลนั้นได้
                        (4) เป็นการจับผู้ต้องหาหรือ จำเลยที่หนีหรือจะหลบหนีในระหว่างถูกปล่อยชั่วคราวตามมาตรา 117"
              จะเห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 78 วรรคแรกบัญญัติว่า พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจจะจับผู้ใดโดยไม่มีหมายจับหรือคำสั่งของศาลนั้นไม่ได้ ซึ่งเป็นไปตามหลัก Due Process Model ต้องมีหมายของศาลเสียก่อน ซึ่งถือว่าเป็นการคุมครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนจากการจับหรือค้นของเจ้าหน้าที่รัฐ โดยให้ศาลเป็นผู้คอยกลั่นกรองว่ามีเหตุอันสมควรให้ออกหมายหรือไม่
              ส่วนตาม (1) - (4) นั้นเป็นการให้อำนาจเจ้าหน้าที่ของรัฐเพื่อให้สามารถปราบปรามอาชญากรรมได้อย่างทันถ่วงที ซึ่งเป็นไปตามหลัก Crime Control Model ที่เน้นการส่งเสริมประสิทธิภาพของกระบวนการยุติธรรมทางอาญา
              จะเห็นว่าทฤษฎีการควบคุมอาชญากรรม (Crime Control Model) และทฤษฎีความชอบด้วยกระบวนการทางกฎหมาย (Due Process Model) นั้น แม้จะมีขึ้นมาเพื่อให้สังคมนั้นอยู่รวมกันอย่างสงบสุขและมีความปลอดภัยจากอาชญากรรมก็ตาม แต่มีความแตกต่างกันในแนวความคิดอยู่ หากรัฐมุ่งที่จะควบคุมอาชญากรรมอย่างมีประสิทธิภาพเด็ดขาด สิทธิและเสรีภาพของประชาชนก็จะถูกกระทบกระเทือนมากตามไปด้วย และหากรัฐมุ่งที่จะให้สิทธิและเสรีภาพแก่ประชาชนมาก การควบคุมอาชญากรรมอาจทำได้ไม่สะดวกซึ่งส่งผลต่อประสิทธิภาพของการควบคุมอาชญากรรมก็ลดตามไปด้วย
              เมื่อพิจารณาแล้วเหมือนกับว่าทั้งสองแนวความคิดทั้ง 2 แนวนั้นแตกต่างกัน จนอาจจะดูเหมือนเส้นขนานที่ไม่อาจจะอยู่ร่วมกันได้ หากให้น้ำหนักไปทางใดทางหนึ่งอีกทางก็ต้องเอนเอียง ต่ำหรือสูงไปด้วย(เปรียบดั่ง Crime Control Model นั้นเป็นแกน X ส่วน Due Process Model นั้นเป็นแกน Y)
              ดังนั้นจึงเป็นความยากของรัฐและนักกฎหมายที่จะหาจุดสมดุล ระหว่างแนวคิดทั้ง 2 ทฤษฎี เพื่อให้กระบวนการดำเนินคดีอาญาของไทยมีประสิทธิภาพในการควบคุมอาชญากรรมและ ในขณะเดียวกันก็กระทบกระเทือนสิทธิเสรีภาพของบุคคลให้น้อยที่สุด และเปิดโอกาสให้ต่อสู้คดีได้อย่างเต็มที่และเสรี หากให้น้ำหนักไปทางแนวความคิดใดแนวหนึ่งย่อมเสียสมดุลของกระบวนการยุติธรรม ทางอาญาไป
              ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า ทฤษฎีว่าด้วยการควบคุมอาชญากรรม (Crime Control Model) เป็นรูปแบบที่เน้นประสิทธิของกระบวนยุติธรรม โดยมุ่งควบคุม ระงับ ปราบปรามอาชญากรรมเป็นหลัก หากเจ้าหน้าที่รัฐไม่สามารถจับกุมผู้กระทำความผิดมาดำเนินคดีได้จะส่งผลกระทบต่อความสงบสุขเรียบร้อยของประชาชน ทำให้มีสถิติการจับกุมดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดที่ที่สูง นอกจากนี้มีการดำเนินคดีตามขั้นตอน จับ ควบคุมตัว การสอบสวน การฟ้องร้อง การพิจารณาพิพากษาลงโทษจำเลย เป็นขั้นตอนที่รวบรัด และมีประสิทธิภาพ โดยเชื่อว่าการค้นหาความจริงโดยพนักงานตำรวจ อัยการก็เพียงพอที่จะเชื่อได้ว่าผู้กระทำมีความผิดจริง
              จะเห็นได้ว่าตามทฤษฎีว่าด้วยการควบคุมอาชญากรรม (Crime Control Model) เน้นการการปราบปรามอาชญากรรมเป็นเรื่องหลัก เรื่องการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของบุคคลเป็นเรื่องรองลงไป ดังนั้นถ้าประเทศใดเน้นการควบคุมอาชญากรรมเป็นหลัก กฎหมายวิธีพิจารณาความของประเทศนั้นจะมีบทบัญญัติให้อำนาจเจ้าหน้าที่มาก
              ส่วนทฤษฎีว่าด้วยความชอบด้วยกระบวนการทางกฎหมาย (Due Process Model) นั้นยึดหลักกฎหมายเป็นสำคัญ (rule of law) และยึดการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนเป็นสำคัญ กระบวนขั้นตอนต่าง ๆ เช่น การจับ การค้น การควบคุมตัว การพิจารณาพิพากษาลงโทษจำเลยต้องเป็นธรรม และต่อต้านการใช้อำนาจรัฐที่ไม่ชอบ ซึ่งตรงข้ามกับทฤษฎีว่าด้วยการควบคุมอาชญากรรม (Crime Control Model) ดังนั้นถ้าประเทศใดเน้นความชอบด้วยกระบวนการทางกฎหมาย การเป็นหลัก กฎหมายวิธีพิจารณาความของประเทศนั้นจะมีบทบัญญัติให้ความคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนมาก

2. ระบบการพิจารณาคดีอาญา
              ระบบในการพิจารณาคดีอาญาในปัจจุบันมี 2 ระบบ โดยพิจารณาตามระบบกฎหมายกฎหมาย ในระบบกฎหมายแบบคอมมอนลอว์ (Common Law) จะใช้ระบบกล่าวหา (Adversarial system) สวนประเทศที่ใช้ระบบกฎหมายแบบ (Civil Law) ใช้การพิจารณาแบบระบบไต่สวน (Inquisitorial system) แม้การพิจารณาคดีอาญาจะมีขึ้นมาเพื่อพิจารณาความผิดและลงโทษจำเลยเพื่อให้เกิดความยุติธรรมก็ตาม แต่การพิจารณาคดีอาญาทั้ง 2 ระบบก็มีความแตกต่างกันในหลาย ๆ เรื่อง ดังต่อไปนี้
     1) แนวความคิดที่แตกต่างกัน
               ระบบกล่าวหา (Adversarial system) นั้นแนวคิดของระบบนี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการประกันสิทธิเสรีภาพของผู้ถูกกล่าวหาหรือจำเลย (แนวความคิดค่อนไปทาง Due process) ดังนั้นในระบบนี้การพิจารณาคดีจะมีกระบวนขั้นตอนต่าง ๆ มากมายที่จะพิสูจน์ความผิดหรือบริสุทธ์ของผู้ถูกกล่าวหาและเปิดโอกาสให้ผู้ถูกกล่าวหาได้ต่อสู้คดีอย่างเต็มที่ แต่แนวความคิดของระบบไต่สวน (Inquisitorial system) ตั้งอยู่บนพื้นฐานของประโยชน์สาธารณะในการที่จะดำเนินคดีและลงโทษผู้กระทำผิด (แนวคิดค่อนไปทาง Crime Control) ดังนั้นหากการดำเนินคดีอาญาเรื่องนั้นเป็นเรื่องของประโยชน์สาธารณะ (Public Interest) แม้ผู้เสียหายไม่ติดใจเอาความก็ต้องดำเนินคดีอาญาต่อไป
              ดังนั้นการที่แนวความคิดพื้นฐานที่ต่างกันนี้ทำในระบบกล่าวหาศาลมักจะวางตัวเป็นกลาง ส่วนในระบบไต่สวนศาลจะมีบทบาทในการถามพยานเพื่อค้นหาความจริง
     2. วิธีพิจารณาที่แตกต่างกัน
              ระบบกล่าวหา (Adversarial system) มีวิธีพิจารณาแบบเปิดเผย ทุกคนมีสิทธิเข้าฟังการพิจารณาได้ (เห็นได้จากห้องพิจารณาคดีของระบบนี้จะเป็นห้องใหญ่และมีที่นั่งสำหรับประชนสามารถเข้าไปฟังการพิจารณาได้ แม้ไม่ได้เป็นผู้ที่เกี่ยวข้องกับคดี) และมีวิธีพิจารณาคดีด้วยวาจา (Oral proceedings) ซึ่งทั้งนี้ก็เป็นผลมาจากการพิจารณาแบบเปิดเผย เพื่อให้ทุกคนที่ฟังการพิจารณาคดีได้ทราบข้อเท็จจริงในคดี และในระบบนี้มีการพิจารณาคดีแบบคู่พิพาท (ฝ่ายที่กล่าวหากับฝ่ายที่ถูกกล่าวหา หรือโจทก์และจำเลยในคดี) โดยที่ศาลจะวางตัวเป็นกลางและรับฟังการนำสืบของคู่พิพาทเพื่อตัดสินคดี การพิสูจน์ข้อเท็จจริงในระบบนี้จึงเป็นหน้าที่ของคู่พิพาท
              ส่วนระบบไต่สวน (Inquisitorial system) มีการพิจารณาคดีด้วยลายลักษณ์อักษร ใช้เอกสารเป็นหลักในการฟ้องร้องและให้การสู้คดี รวมถึงการชี้แจงต่าง ๆ ต่อศาลก็ทำเป็นลายลักษณ์อักษร มีการพิจารณาแบบไม่มีคู่พิพาท มีเพียงแต่ฝ่ายผู้ไต่สวนกับผู้ถูกไต่สวน โดยที่ฝ่ายที่ถูกไต่สวนจะมีลักษณะตั้งรับ (Passive) กระบวนการทั้งหมดมาจากฝ่ายผู้ไต่สวนเพียงฝ่ายเดียว ดังนั้นในระบบนี้จึงมีแต่ฝ่ายที่เป็นผู้ไต่สวนกับฝ่ายที่ถูกไต่สวนเท่านั้น นอกจากนี้ระบบไต่สวนยังมีการพิจารณาคดีแบบลับ กระบวนการไต่สวนจะไม่ทำในที่สาธารณะ และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องจะไม่ทราบอะไรมากนัก บุคคลที่เป็นพยานในคดีเองก็ไม่ทราบว่าไต่สวนเรื่องอะไรและใครเป็นผู้ต้องหา (ทั้งนี้เพื่อให้ได้ความจริงมากที่สุด)
     3. ที่มาของผู้พิพากษาต่างกัน
              ระบบกล่าวหา (Adversarial system) ศาลในระบบกล่าวหาที่ทำหน้าที่มักจะไม่ใช่ผู้พิพากษาอาชีพในการตัดสินคดี เนื่องจากระบบกล่าวหามีแนวคิดเพื่อให้ประชาชนได้ตรวจสอบ ดังนั้นจึงใช้ระบบลูกขุนซึ่งเป็นประชาชนธรรมดา เมื่อคณะลูกขุนได้ฟังการพิจารณาคดีเสร็จแล้วคณะลูกขุนจะตัดสินว่าจำเลยมีความผิดหรือไม่มีความผิด (guilty or not guilty)
              ส่วนระบบไต่สวน (Inquisitorial system) จะใช้ผู้พิพากษาอาชีพในการตัดสินคดี เพราะการดำเนินคดีในระบบไต่สวนมีเทคนิคมากกว่าการดำเนินคดีระบบกล่าวหา ศาลที่ทำหน้าที่ไต่สวนต้องใช้ความรู้ความสามารถในการดำเนินคดีอย่างมาก
              ข้อแตกต่างนี้ ยังไม่สามารถแยกความแตกต่างของทั้งสองระบบออกจากกันได้อย่างเด็ดขาด เพราะในบางประเทศก็ใช้ผสมกัน เช่น ประเทศไทย ที่การดำเนินคดีในศาลยุติธรรมใช้ระบบกล่าวหา แต่ศาลมาจากผู้พิพากษาอาชีพเป็นผู้คอยตัดสินผิดหรือถูก
     4. ผู้ริเริ่มคดีแตกต่างกัน
              ระบบกล่าวหา (Adversarial system) ผู้ริเริ่มคดีจะเป็นองค์กรอื่นที่ไม่ใช่ศาล มีการแยกอำนาจฟ้องคดีออกจากอำนาจตัดสินคดีอย่างชัดเจน เพื่อไม่ให้ศาลมีอคติในการตัดสินคดี เช่น ให้การฟ้องร้องคดีเป็นอำนาจหน้าที่ขององค์การอัยการ ส่วนในระบบไต่สวน (Inquisitorial system) ผู้ฟ้องคดีจะเป็นศาลไต่สวนเอง ผู้พิพากษามีอำนาจในการเริ่มทำการไต่สวนได้เองหากเห็นการกระทำผิด
              แต่ในปัจจุบัน ส่วนใหญ่อำนาจฟ้องคดีกับอำนาจตัดสินคดีมักจะแยกออกจากกัน แม้ประเทศที่ใช้ระบบไต่สวน เช่น ฝรั่งเศส ก็มีการแยกอำนาจฟ้องคดีออกจากศาล อัยการเป็นผู้มีอำนาจฟ้องคดีต่อศาล
     5. วิธีการรวบรวมพยานหลักฐานต่างกัน
              ระบบกล่าวหา (Adversarial system) คู่ความจะทำหน้าที่รวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมดเพื่อนำเสนอต่อศาล และยังต้องเปิดเผยพยานหลักฐานก่อนมีการสืบให้อีกฝ่ายได้รับรู้อีกด้วย (สังเกต ตาม วิธีพิจารณาของไทย จะต้องมีการยื่นบัญชีระบุพยานก่อน) ส่วนในระบบไต่สวน (Inquisitorial system) ศาลในระบบไต่ส่วนจะมีหน้าที่ในการรวบรวมพยานหลักฐานทั้งปวง
     6. การดำเนินคดีรับสารภาพที่แตกต่างกัน
              ระบบกล่าวหา (Adversarial system) ศาลจะถามคำให้การจำเลยว่าจำเลยจะให้การรับสารภาพหรือปฏิเสธ ถ้าจำเลยรับสารภาพก็สามารถลงโทษจำเลยได้เลย แต่ถ้าจำเลยปฏิเสธศาลก็ต้องดำเนินการสืบพยานต่อไปจนเสร็จคดี ส่วนในระบบไต่สวน (Inquisitorial system) แม้จำเลยให้การรับสารภาพ ศาลก็จะต้องดำเนินคดีไต่สวนความจริงต่อไป แต่ทั้งนี้การดำเนินคดีอาจจะไม่เต็มรูปแบบเหมือนจำเลยปฏิเสธ
              การแยกความแตกต่างระหว่างระบบไต่สวน (Inquisitorial system) และระบบกล่าวหา(Adversarial system) หากศึกษาถึงวิวัฒนาการ แนวคิด รวมถึงรายละเอียดของทั้งสองระบบให้ดีแล้วจะทำให้เราเข้าใจ ระบบการดำเนินคดีมากขึ้น ทั้งสองระบบต่างก็มีข้อดีและข้อด้อยแตกต่างกัน และถูกนำมาเป็นพื้นฐานในการพิจารณาคดีอาญาในศาลต่าง ๆ ทั่วโลก ทั้งในศาลยุติธรรม ศาลปกครอง รวมถึงศาลระหว่างประเทศ เช่น ศาลอาญาระหว่างประเทศ
              ทั้งนี้ทั้งนั้น ในแต่ละประเทศ แม้จะใช้ระบบกล่าวหาหรือระบบไต่ส่วนเหมือนกัน แต่รายละเอียดมักจะไม่เหมือนกัน หลาย ๆ ประเทศก็นำไปปรับเปลี่ยนให้เข้ากับระบบกฎหมายและวิธีพิจารณาของประเทศตัวเอง แต่โดยหลักการแล้วไม่แตกต่างกัน
              ส่วนหลักการดำเนินคดีอาญาของไทยนั้นใช้ระบบใดระหว่างระบบกล่าวหา (Adversarial system) หรือระบบไต่สวน (Inquisitorial system) ก็ต้องพิจารณาว่าการดำเนินคดีมีการแยกอำนาจฟ้องร้องออกจากอำนาจพิจารณาคดีหรือไม่ การวางตัวของศาลเป็นกรรมการหรือเป็นผู้ไต่สวนการพิจารณาคดีในศาลเปิดเผยหรือไม่ การสืบพยานนั้นกระทำด้วยวาจาหรือเอกสาร และใช้ผู้พิพากษาอาชีพในการตัดสินคดีหรือไม่ รวมถึงมีการคุ้มครองสิทธิของผู้ต้องหาหรือจำเลยหรือไม่

3. ความแตกต่างของคดีแพ่งกับคดีอาญา      
              คดีแพ่งเป็นเรื่องของการพิพาทกันระหว่างเอกชน ไม่ได้กระทบกระเทือนถึงความสงบเรียบร้อยของประชาชน ตั้งอยู่บนพื้นฐานของเสรีภาพและความสมัครใจของเอกชน การพิจารณาคดีจึงไม่เข้มงวดเหมือนกับการพิจารณาคดีอาญา เพราะคดีอาญาเป็นเรื่องที่กระทบต่อความสงบสุขของสังคมโดยรวม ไม่ได้ยึดเสรีภาพและความสมัครใจของโจทก์จำเลยเหมือนกับคดีแพ่ง เช่น ในคดีอาญาแผ่นดินนั้นแม้ผู้เสียหายไม่ติดใจเอาความ รัฐก็ต้องดำเนินคดีต่อไปเพื่อให้ผู้กระทำความผิดได้รับโทษตามกฎหมาย ดังนั้นการดำเนินคดีอาญาจึงมีกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดมากกว่าคดแพ่ง
              ในคดีแพ่งนั้นมาตรฐานการพิสูจน์ ใครสามารถทำให้ศาลเห็นว่าพยานหลักฐานฝ่ายตนมีน้ำหนักมากกว่าก็ชนะคดี แต่สำหรับมาตรฐานการพิสูจน์ในคดีอาญานั้น การพิสูจน์จะต้องทำให้ศาลที่พิจารณาคดีเชื่อได้ว่าจำเลยได้กระทำความผิดจริง หากพิสูจน์ไม่ถึงหรือศาลยังสงสัยอยู่ ฝ่ายที่กล่าวอ้างก็แพ้คดี ดังที่ปรากฏในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 ให้ศาลใช้ดุลพินิจวินิจฉัยชั่งน้ำหนักพยานหลักฐาน ทั้งปวงอย่าพิพากษาลงโทษจนกว่าจะแน่ใจว่ามีการกระทำผิดจริง และจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดนั้น และตามวรรคสองเมื่อมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยได้กระทำผิดหรือไม่ ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลย
              การรับข้อเท็จจริงโดยคู่ความ ในคดีแพ่ง หากคู่ความไม่ปฏิเสธข้อกล่าวอ้างของโจทก์ถือว่ารับ ส่วนในคดีอาญา แม้คู่ความไม่ปฏิเสธข้อกล่าวอ้าง แต่ไม่ได้รับสารภาพ ก็ถือว่าจำเลยปฏิเสธข้อกล่าวอ้างของโจทก์
              ภาระการพิสูจน์ในคดีอาญาโจทก์เป็นผู้ฟ้องว่าจำเลยกระทำความผิดอาญา โจทก์จึงมีภาระการพิสูจน์ให้ศาลเห็นว่าจำเลยกระทำความผิดจริงตามฟ้อง เช่น ในคดีที่จำเลยให้การปฏิเสธ หรือจำเลยไม่ให้การใด ๆ เลย โจทก์ก็มีหน้าที่ต้องพิสูจน์ตามข้อกล่าวอ้างของโจทก์
              ส่วนคดีที่จำเลยรับสารภาพโดยหลักแล้วเมื่อจำเลยรับแล้วก็ไม่ต้องสืบพยานกันอีก เว้นเสียแต่ว่าเป็นคดีที่มีโทษหนัก แม้จำเลยสารภาพแล้วก็ต้องสืบพยานประกอบคำรับสารภาพ ดังที่ปรากฏในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 176 ในชั้นพิจารณา ถ้าจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง ศาลจะพิพากษาโดยไม่สืบพยานหลักฐานต่อไปก็ได้ เว้นแต่คดีที่มีข้อหาในความผิดซึ่งจำเลยรับสารภาพนั้น กฎหมายกำหนดอัตราโทษอย่างต่ำไว้ให้จำคุกตั้งแต่ห้าปีขึ้นไปหรือโทษสถานที่หนักกว่านั้น ศาลต้องฟังพยานโจทก์จนกว่าจะพอใจว่าจำเลยได้กระทำผิดจริง







x

          [1] เฉลิมวุฒิ สาระกิจ, น.บ. (เกรียตินิยมอันดับ 1), น.บ.ท.,
            อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา
          [2] อ้างถึง เกียรติขจร วัจนะสวัสดิ์, คำอธิบายหลักกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาว่าด้วยการดำเนินคดีในขั้นตอนก่อนการพิจารณา








กฎหมายอาญาภาคทั่วไป
เฉลิมวุฒิ สาระกิจ
www.mebmarket.com
กฎหมายอาญาเบื้องต้น คำอธิบายกฎหมายอาญา ภาคทั่วไป อ่านเข้าใจง่าย ใช้เวลาไม่นานในการอ่านก็เข้าใจกฎหมายอาญาได้



108 คำถามกฎหมายอาญา
เฉลิมวุฒิ สาระกิจ
www.mebmarket.com
หนังสือ 108 คำถามกฎหมายอาญา เล่มที่ 1 (ภาคทั่วไป) จัดทำขึ้นมาโดยผู้เขียนประสงค์จะให้นิสิต นักศึกษำ รวมถึงผู้ที่สนใจกฎหมายอาญาภาคทั่วไปได้ทบทวนความรู้เกี่ยวกับ กฎหมายอำญาภาคทั่วไป ซึ่งคำถามทั้งหมดครอบคลุมเนื้อหา กฎหมายอำญาภาคทั่วไป เป็นการเรียนกฎหมายอาญาโดยอาศัยการถามตอบ เมื่ออ่านครบแล้วจะทำให้เข้าใจกฎหมายอาญา โดยที่ไม่รู้สึกเหมือนอ่านตำรา


ความผิดต่อชีวิตและร่างกาย
เฉลิมวุฒิ สาระกิจ
www.mebmarket.com
คำอธิบายกฎหมายอาญาภาคความผิด ความผิดต่อชีวิตและร่างกาย เช่น ความผิดฐานฆ่าคนตายโดยเจตนา ความผิดฐานฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา ความผิดฐานฆ่าคนตายโดยประมาท ความผิดฐานทำร้ายร่างกาย ความผิดฐานทำร้ายร่างกายสาหัส




ถามตอบวิอาญา เล่ม 1
เฉลิมวุฒิ สาระกิจ
www.mebmarket.com
ถามตอบวิอาญา เนื้อหากระบวนยุติธรรมทางอาญาก่อนถึงชั้นศาล หลักการสำคัญในทางอาญา ขั้นตอนการดำเนินคดีอาญา ผู้เสียหาย อำนาจสอบสวน อำนาจฟ้องคดี การระงับคดีอาญา การจับ ขัง จำคุก ค้น ปล่อย

กฎหมายสำหรับสอบตำรวจ
เฉลิมวุฒิ สาระกิจ
www.mebmarket.com
หนังสือเล่มนี้มีลักษณะเป็นคำอธิบายกฎหมาย ไม่ใช่หนังสือเรียบเรียงกฎหมายที่มีแต่ตัวบทกฎหมาย พระราชบัญญัติ เนื้อหาครอบคลุม 3 วิชาหลักสำหรับการสอบตำรวจ คือ กฎหมายอาญาภาคทั่วไป กฎหมายอาญาภาคความผิด กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และกฎหมายพยานหลักฐาน