วิชากฎหมายลักษณะพยานหลักฐาน ชุดที่ 1
ออกข้อสอบโดย เฉลิมวุฒิ สาระกิจ
อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา
คำถามข้อที่: 1: ข้อใดต่อไปนี้ต้องใช้พยานหลักฐานในการพิสูจน์
ก. ข้อกฎหมาย
ข. ข้อเท็จจริง
ค. คดีขาดอายุ
ง. ถูกทุกข้อ
ก. ข้อกฎหมาย
ข. ข้อเท็จจริง
ค. คดีขาดอายุ
ง. ถูกทุกข้อ
คำถามข้อที่: 2: พยานหลักฐานในสำนวน หมายถึงข้อใดดังต่อไปนี้
ก. สิ่งที่สามารถให้ข้อเท็จจริงแก่ศาล
ข. พยานหลักฐานที่คู่ความนำเข้าสืบเพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงในประเด็นแห่งคดีเท่านั้น
ค. พยานหลักฐานที่ศาลยอมรับหรือยอมให้นำสืบได้เท่านั้
ง. ถูกทุกข้อ
ก. สิ่งที่สามารถให้ข้อเท็จจริงแก่ศาล
ข. พยานหลักฐานที่คู่ความนำเข้าสืบเพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงในประเด็นแห่งคดีเท่านั้น
ค. พยานหลักฐานที่ศาลยอมรับหรือยอมให้นำสืบได้เท่านั้
ง. ถูกทุกข้อ
คำถามข้อที่: 3: ระบบการพิจารณาคดีที่ผู้มีอำนาจปกครองต้องไต่สวนหาความจริง
โดยไม่ต้องคำนึงว่าจะมีผู้ใดมากล่าวหาหรือไม่ คือระบบการพิจารณาคดีใดดังต่อไปนี้
ก. ระบบกล่าวหา
ข. ระบบไต่สวน
ค. ระบบต่อสู้
ง. ระบบจารีตนครบาล
ก. ระบบกล่าวหา
ข. ระบบไต่สวน
ค. ระบบต่อสู้
ง. ระบบจารีตนครบาล
คำถามข้อที่: 4: ระบบการพิจารณาคดีใดที่ศาลมีบทบทสำคัญในการพิจารณาคดี
มีอำนาจในการสืบพยานเพิ่มเติมหรืองดสืบพยานได้
ก. ระบบกล่าวหา
ข. ระบบไต่สวน
ค. ระบบต่อสู้
ง. ระบบจารีตนครบาล
ก. ระบบกล่าวหา
ข. ระบบไต่สวน
ค. ระบบต่อสู้
ง. ระบบจารีตนครบาล
คำถามข้อที่: 5: ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับระบบการพิจาารณาคดีแบบไต่สวน
ก. การพิจารณาคดีโดยเฉพาะในคดีอาญา จะมีลักษณะเป็นการดำเนินคดีระหว่างศาลกับจำเลย โจทก์ไม่มีบทบาทสำคัญ
ข. มักจะไม่มีกฎเกณฑ์การสืบพยานที่เคร่งครัดมากนัก โดยเฉพาะไม่มีบทตัดพยาน (Exclusionary rule) ที่เด็ดขาด
ค. ผู้ไต่สวนมึบทบาทในการค้นหาความจริงในคดีและคุ้มครองสิทธิของผู้ถูกไต่สวนไปพร้อมกัน
ง. ถูกทุกข้อ
ก. การพิจารณาคดีโดยเฉพาะในคดีอาญา จะมีลักษณะเป็นการดำเนินคดีระหว่างศาลกับจำเลย โจทก์ไม่มีบทบาทสำคัญ
ข. มักจะไม่มีกฎเกณฑ์การสืบพยานที่เคร่งครัดมากนัก โดยเฉพาะไม่มีบทตัดพยาน (Exclusionary rule) ที่เด็ดขาด
ค. ผู้ไต่สวนมึบทบาทในการค้นหาความจริงในคดีและคุ้มครองสิทธิของผู้ถูกไต่สวนไปพร้อมกัน
ง. ถูกทุกข้อ
คำถามข้อที่: 6: ระบบการพิจารณาคดีใดที่มีแนวความมาจากการที่ประชาชนคนหนึ่งนำข้อพิพาทมาฟ้องร้องว่ากล่าวบุคคลอีกคนหนึ่งต่อผู้มีอำนาจ
ก. ระบบกล่าวหา
ข. ระบบไต่สวน
ค. ระบบจารีตนครบาล
ง. ระบบค้นหาความจริงโดยศาล
ก. ระบบกล่าวหา
ข. ระบบไต่สวน
ค. ระบบจารีตนครบาล
ง. ระบบค้นหาความจริงโดยศาล
คำถามข้อที่: 7: ข้อใดดังต่อไปนี้กล่าวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับระบบกล่าวหา
ก. ศาลจะวางตัวเป็นกลาง (Passive) เพื่อควบคุมกติกาอย่างเคร่งครัด
ข. ไมมีอำนาจในการสืบพยานเพิ่มเติมหรือตัดพยาน
ค. มีหลักเกณฑ์การนำพยานหลักฐานมาสืบเคร่งครัด
ง. ไม่มีข้อถูก
ก. ศาลจะวางตัวเป็นกลาง (Passive) เพื่อควบคุมกติกาอย่างเคร่งครัด
ข. ไมมีอำนาจในการสืบพยานเพิ่มเติมหรือตัดพยาน
ค. มีหลักเกณฑ์การนำพยานหลักฐานมาสืบเคร่งครัด
ง. ไม่มีข้อถูก
คำถามข้อที่: 8: ระบบการพิจารณาคดีใดที่ศาลมีบทบาทในการค้นหาความจริงในการพิจารณาคดีอย่างมาก
ก. ระบบกล่าวหา
ข. ระบบไต่สวน
ก. ระบบกล่าวหา
ข. ระบบไต่สวน
คำถามข้อที่: 9:
ระบบการพิจารณาคดีใดที่มีลักษณะเป็นการต่อสู้กันของคู่ความ
ก. ระบบกล่าวหา
ข. ระบบไต่สวน
ก. ระบบกล่าวหา
ข. ระบบไต่สวน
คำถามข้อที่: 10: ศาลไทยใช้ระบบการพิจารณาคดีใดมาใช้ในการพิจารณาคดีในศาล
ก. ระบบกล่าวหา
ข. ระบบไต่สวน
ค. ศาลยุติธรรมใช้ระบบกล่าวหา และศาลปกครองใช้ระบบไต่สวน
ง. ศาลยุติธรรมใช้ระบบไต่สวน และศาลปกครองใช้ระบบกล่าวห่
ก. ระบบกล่าวหา
ข. ระบบไต่สวน
ค. ศาลยุติธรรมใช้ระบบกล่าวหา และศาลปกครองใช้ระบบไต่สวน
ง. ศาลยุติธรรมใช้ระบบไต่สวน และศาลปกครองใช้ระบบกล่าวห่
คำถามข้อที่: 11: พยานถ้อยคำ Oral Evidence หมายถึงข้อใดต่อไปนี้
ก. พยานบุคคล
ข. พยานเอกสาร
ค. พยานวัตถุ
ง. พยานแวดล้อม
คำถามข้อที่: 12: ในคดีอาญา พยานชนิดใดมีความสำคัญมากที่สุด
ก. พยานบุคคล
ข. พยานเอกสาร
ค. พยานวัตถุ
ง. พยานแวดล้อม
ก. พยานบุคคล
ข. พยานเอกสาร
ค. พยานวัตถุ
ง. พยานแวดล้อม
คำถามข้อที่: 13: พยานหลักฐานที่มีความสำคัญในดคีแพ่ง คือ
พยานหลักฐานชนิดใด
ก. พยานบุคคล
ข. พยานเอกสาร
ค. พยานวัตถุ
ง. พยานแวดล้อม
ก. พยานบุคคล
ข. พยานเอกสาร
ค. พยานวัตถุ
ง. พยานแวดล้อม
คำถามข้อที่: 14: มีด ปืน ยาเสพย์ติดของกลาง
บาดแผลของผู้เสียหาย คือ พยานหลักฐานชนิดใด
ก. พยานบุคคล
ข. พยานเอกสาร
ค. พยานวัตถุ
ง. พยานแวดล้อม
ก. พยานบุคคล
ข. พยานเอกสาร
ค. พยานวัตถุ
ง. พยานแวดล้อม
คำถามข้อที่: 15: ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับ พยานโดยตรง
ก. พยานที่ไม่ได้แสดงถึงข้อเท็จจริงที่พิสูจน์โดยตรง แต่อาจทำให้ศาลอนุมานได้ว่าข้อเท็จจริงที่คู่ความประสงค์จะพิสูจน์มีอยู่จริงหรือไม่มี
ข. พยานที่มาเบิกความให้ข้อเท็จจริงแก่ศาลตามที่ตนได้รับรู้มาจากประสาทของตน มิใช่รู้มาจากการบอกเล่าของผู้อื่น
ค. พยานหลักฐานที่แสดงให้เห็นข้อเท็จจริงที่จะพิสูจน์ได้โดยตรง
ง. ไม่มีข้อถูก
ก. พยานที่ไม่ได้แสดงถึงข้อเท็จจริงที่พิสูจน์โดยตรง แต่อาจทำให้ศาลอนุมานได้ว่าข้อเท็จจริงที่คู่ความประสงค์จะพิสูจน์มีอยู่จริงหรือไม่มี
ข. พยานที่มาเบิกความให้ข้อเท็จจริงแก่ศาลตามที่ตนได้รับรู้มาจากประสาทของตน มิใช่รู้มาจากการบอกเล่าของผู้อื่น
ค. พยานหลักฐานที่แสดงให้เห็นข้อเท็จจริงที่จะพิสูจน์ได้โดยตรง
ง. ไม่มีข้อถูก
คำถามข้อที่: 16: คำเบิกความของพยานว่าเห็นจำเลยถือมีดเปื้อนเลือดวิ่งออกมาจากในบ้าน
เป็นพยานหลักฐานชนิดใด
ก. พยานโดยตรง
ข. ประจักษ์พยาน
ค. พยานแวดล้อมกรณี
ง. ถูกทุกข้อ
ก. พยานโดยตรง
ข. ประจักษ์พยาน
ค. พยานแวดล้อมกรณี
ง. ถูกทุกข้อ
คำถามข้อที่: 17: พยานที่มาเบิกความให้ข้อเท็จจริงแก่ศาลตามที่ตนได้รับรู้มาจากประสาทของตน
มิใช่รู้มาจากการบอกเล่าของผู้อื่น คือพยานหลักฐานชนิดใด
ก. พยานโดยตรง
ข. ประจักษ์พยาน
ค. พยานบุคคล
ง. ถูกทุกข้อ
ก. พยานโดยตรง
ข. ประจักษ์พยาน
ค. พยานบุคคล
ง. ถูกทุกข้อ
คำถามข้อที่: 18: ข้อใดต่อไปนี้กล่าวถูกต้องเกี่ยวกับพยานบอกเล่า
ก. ไม่อาจถูกถูกซักค้านได้
ข. เป็นพยานที่ไม่น่าเชื่อถือ (Unreliable)
ค. มีได้แต่เฉพาะพยานบุคคล
ง. ถูกทุกข้อ
ก. ไม่อาจถูกถูกซักค้านได้
ข. เป็นพยานที่ไม่น่าเชื่อถือ (Unreliable)
ค. มีได้แต่เฉพาะพยานบุคคล
ง. ถูกทุกข้อ
คำถามข้อที่: 19: นายแดงเห็นนายเอเอามีดแทงนายบี แล้ววิ่งหนีออกไปทางหลังบ้าน
นายดำเห็นนายเอถือมีดที่เปื้อนเลือดวิ่งออกมาจากบ้านอย่างมีพิรุธ
สงสัยว่านายเอจะเป็นคนฆ่านายบี จึงเอาเรื่องดังกล่าวไปเล่าให้นายขาวฟัง
นายแดงเป็นพยานหลักฐานชนิดใด
ก. ประจักษ์พยาน
ข. พยานแวดล้อม
ค. พยานบอกเล่า
ง. ไม่มีข้อถูก
ก. ประจักษ์พยาน
ข. พยานแวดล้อม
ค. พยานบอกเล่า
ง. ไม่มีข้อถูก
คำถามข้อที่: 20: นายแดงเห็นนายเอเอามีดแทงนายบี
แล้ววิ่งหนีออกไปทางหลังบ้าน
นายดำเห็นนายเอถือมีดที่เปื้อนเลือดวิ่งออกมาจากบ้านอย่างมีพิรุธ
สงสัยว่านายเอจะเป็นคนฆ่านายบี จึงเอาเรื่องดังกล่าวไปเล่าให้นายขาวฟัง
นายดำเป็นพยานหลักฐานชนิดใด
ก. ประจักษ์พยาน
ข. พยานแวดล้อมกรณี
ค. พยานบอกเล่า
ง. ไม่มีข้อถูก
ก. ประจักษ์พยาน
ข. พยานแวดล้อมกรณี
ค. พยานบอกเล่า
ง. ไม่มีข้อถูก
คำถามข้อที่: 21: เหตุที่กฎหมายกำหนดให้ต้องนำฉบับเอกสารมาสืบเท่านั้น
ห้ามมิให้นำสำเนาเอกสารมาสืบแทนหรือหักล้างต้นฉบับ
ก. เพราะต้นฉบับเอกสารมีความถูกต้องแท้จริง
ข. เพราะต้นฉบับย่อมน่าเชื่อถือกว่าสำเนา
ค. เพราะต้นฉบับเป็นเอกสารที่หาง่าย
ง. ถูกทุกข้อ
ก. เพราะต้นฉบับเอกสารมีความถูกต้องแท้จริง
ข. เพราะต้นฉบับย่อมน่าเชื่อถือกว่าสำเนา
ค. เพราะต้นฉบับเป็นเอกสารที่หาง่าย
ง. ถูกทุกข้อ
คำถามข้อที่: 22: เหตุใดในคดีอาญาจึงไม่มีการชี้สองสถาน
ก. เพราะคดีอาญาไม่มีการยื่นคำให้การเป็นหนังสือ
ข. เพราะคดีอาญาไม่มีประเด็นซับซ้อนเหมือนคดีแพ่ง
ค. เพราะคดีอาญา เป็นคดีที่โจทก์ต้องนำสืบทุกคดี
ง. เพราะคดี่อาญา ไม่มีการยื่นบัญชีระบุพยาน
คำถามข้อที่: 23: ประเด็นแห่งคดี เกิดขึ้นได้จากสาเหตุใด
ก. เกิดขึ้นได้จากคำฟ้องของโจทก์เท่านั้น
ข. เกิดขึ้นได้จากคำให้การของจำเลยเท่านั้น
ค. เกิดขึ้นได้ทั้งจากคำฟ้อง และคำให้การของจำเลย
ง. เกิดขึ้นได้ทั้งจากคำฟ้อง และคำให้การของจำเลย และคำแถลงของคู่ความด้วย
ก. เกิดขึ้นได้จากคำฟ้องของโจทก์เท่านั้น
ข. เกิดขึ้นได้จากคำให้การของจำเลยเท่านั้น
ค. เกิดขึ้นได้ทั้งจากคำฟ้อง และคำให้การของจำเลย
ง. เกิดขึ้นได้ทั้งจากคำฟ้อง และคำให้การของจำเลย และคำแถลงของคู่ความด้วย
คำถามข้อที่: 24: แดงฟ้องว่าดำกู้ยืมเงินไป 100,000 บาท โดยแดงได้ทวงถามดำไปแล้ว แต่ดำปฏิเสธไม่ชำระหนี้ ดำให้การว่า
ดำได้กู้ยืมเงินของแดงไปจริง 100,000 บาท
แต่ดำได้ชำระหนี้ให้นายแดงแล้ว
ในคดีดังกล่าเกิดประเด็นข้อพิพาทหรือไม่
อย่างไร
ก. ไม่เกิดประเด็นข้อพิพาท เนื่องจากนายดำได้รับว่ากู้เงินไปจริง
ข. ไม่เกิดประเด็นข้อพิพาท นายดำไม่ได้ปฏิเสธ
ค. เกิดประเด็นข้อพิพาท เพราะนายดำได้ต่อสู้ว่าชำระหนี้แล้ว
ง. เกิดประเด็นข้อพิพาท เพราะนายต่อสู้ว่าหนี้ตามสัญญาไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ก. ไม่เกิดประเด็นข้อพิพาท เนื่องจากนายดำได้รับว่ากู้เงินไปจริง
ข. ไม่เกิดประเด็นข้อพิพาท นายดำไม่ได้ปฏิเสธ
ค. เกิดประเด็นข้อพิพาท เพราะนายดำได้ต่อสู้ว่าชำระหนี้แล้ว
ง. เกิดประเด็นข้อพิพาท เพราะนายต่อสู้ว่าหนี้ตามสัญญาไม่ชอบด้วยกฎหมาย
คำถามข้อที่: 25: ข้อใดต่อไปนี้คือลักษณะของคำฟ้องคดีแพ่งที่ชอบด้วยกฎหมาย
ก. จะต้องแสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหา
ข. ต้องมีคำขอให้ศาลบังคับ
ค. ต้องมีข้ออ้างที่เป็นหลักฐานแห่งข้อหา
ง. ถูกทุกข้อ
ก. จะต้องแสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหา
ข. ต้องมีคำขอให้ศาลบังคับ
ค. ต้องมีข้ออ้างที่เป็นหลักฐานแห่งข้อหา
ง. ถูกทุกข้อ
คำถามข้อที่: 26: ข้อใดต่อไปนี้กล่าวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับประเด็นข้อพิพาท
ก. ประเด็นแห่งคดีที่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งยกขึ้นอ้างแต่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งไม่รับ
ข. ประเด็นที่เป็นปัญหาที่คู่ความยังโต้เถียงกันอยู่
ค. ประเด็นที่จำเลยไม่ได้ให้การถึงไม่อาจตั้งเป็นประเด็นข้อพิพาทได้
ง. ถูกทุกข้อ
ก. ประเด็นแห่งคดีที่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งยกขึ้นอ้างแต่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งไม่รับ
ข. ประเด็นที่เป็นปัญหาที่คู่ความยังโต้เถียงกันอยู่
ค. ประเด็นที่จำเลยไม่ได้ให้การถึงไม่อาจตั้งเป็นประเด็นข้อพิพาทได้
ง. ถูกทุกข้อ
คำถามข้อที่: 27: โจทก์ฟ้องให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ฐานกระทำละเมิดต่อโจทก์
โดยบรรยายฟ้องว่า
นายแดงลูกจ้างของจำเลยได้ขับรถไปในทางการที่จ้างด้วยความเร็วสูงเป็นเหตุให้ชนกับรถโจทก์เสียหายเป็นเงิน
10,000 บาท จำเลยให้การต่อสู้ปฏิเสธฟ้องโจทก์ว่า
นายแดงไม่ใช่ลูกจ้างของจำเลย จึงไม่ได้ขับรถไปในทางการที่จ้าง
และไม่ได้ขับรถด้วยความเร็วจนชนรถของโจทก์
โจทก์ต่างหากที่ขับรถตัดหน้านายแดงโดยกะทันหัน
ดังนี้คดีนี้มีประเด็นข้อพิพาทอย่างไร
และคู่ความฝ่ายใดนำสืบ
ก. นายแดงทำละเมิดโจทก์หรือไม่ โจทก์นำสืบ
ข. นายแดงทำละเมิดโจทก์หรือไม่ และนายแดงเป็นลูกจ้างได้กระทำในทางการที่จ้างหรือไม่ โจทก์นำสืบ
ค. นายแดงเป็นลูกจ้างได้กระทำในทางการที่จ้างหรือไม่ จำเลยนำสืบ
ง. นายแดงทำละเมิดโจทก์หรือไม่ และนายแดงเป็นลูกจ้างได้กระทำในทางการที่จ้างหรือไม่ จำเลยนำสืบ
คำถามข้อที่: 28: กระบวนการที่ศาลกำหนดประเด็นข้อพิพาทและหน้าที่นำสืบของคู่ความหลังจากที่จำเลยได้ยื่นคำให้การแก้ฟ้องโจทก์แล้ว
คือกระบวนการใดดังต่อไปนี้
ก. นัดพร้อม
ข. ชี้สองสถาน
ค. ไต่สวนมูลฟ้อง
ง. สืบพยาน
ก. นัดพร้อม
ข. ชี้สองสถาน
ค. ไต่สวนมูลฟ้อง
ง. สืบพยาน
คำถามข้อที่: 29: ข้อใดดังต่อไปนี้เกิดขึ้นในวันชี้สองสถาน
ก. การสอบถามของศาลหรือการแถลงของคู่ความ
ข. คู่ความแถลงกันบางประเด็นหรืออาจแถลงรับประเด็นข้อพิพาทบางประเด็น
ค. ศาลสอบถามคู่ความเพื่อให้ความชัดเจนในประเด็นข้อพาท
ง. ถูกทุกข้อ
ก. การสอบถามของศาลหรือการแถลงของคู่ความ
ข. คู่ความแถลงกันบางประเด็นหรืออาจแถลงรับประเด็นข้อพิพาทบางประเด็น
ค. ศาลสอบถามคู่ความเพื่อให้ความชัดเจนในประเด็นข้อพาท
ง. ถูกทุกข้อ
คำถามข้อที่: 30: ในกรณีที่ศาลได้นัดคู่ความาวันชี้สองสถานหากคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่มาในวันดังกล่าวจะมีผลทางกฎหมายอย่างไร
ก. หากฝ่ายที่ไม่มาเป็นโจทก์ ให้ศาลยกฟ้อง
ข. หากฝ่ายใดไม่มาศาลในวันชี้สองสถานให้ถือว่าไม่มีการปฏิเสธคำคู่ความของอีกฝ่าย
ค. คู่ความไม่มาศาลในวันชี้สองสถาน ศาลก็จะทำการชี้สองสถานไปโดยถือว่าคู่ความฝ่ายนั้นได้ทราบการชี้สองสถานแล้ว
ง. ให้ศาลนัดวันชี้สองสถานใหม่ ภายใน 7 วัน
คำถามข้อที่: 31: นายหนึ่งเป็นจำเลยในคดีแพ่งเรื่องหนึ่ง
โดยศาลได้นัดนายหนึ่งไปศาลเพื่อชี้สองสถาน นายหนึ่งทราบนัดดังกล่าวดี
แต่ตื่นสายทำให้ไปไม่ทันเวลาที่ศาลนัด
ปรากฏว่าศาลได้ทำการชี้สองสถานโดยกำหนดให้นายหนึ่งนำพยานหลักฐานเข้าสืบก่อน
นายจะคัดค้านการกำหนดหน้าที่นำสืบดังกล่าวที่ศาลกำหนดไว้ได้หรือไม่ อย่างไร
ก. ได้ เพราะเป็นการกำหนดหน้าที่นำสืบไม่ถูกต้อง
ข. ได้ เพราะถือเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ
ค. ไม่ได้ เพราะนายหนึ่งไม่มาศาลในวันดังกล่าวโดยไม่ปรากฏเหตุจำเป็นอันไม่อาจก้าวล่วงได้
ง. ไม่ได้ เพราะต้องยื่นคำร้องขอให้มีการกำหนดประเด็นข้อพาทและหน้าทีนำสืบก่อนศาลกำหนดประเด็นข้อพิพาทเสร็จ
ก. ได้ เพราะเป็นการกำหนดหน้าที่นำสืบไม่ถูกต้อง
ข. ได้ เพราะถือเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ
ค. ไม่ได้ เพราะนายหนึ่งไม่มาศาลในวันดังกล่าวโดยไม่ปรากฏเหตุจำเป็นอันไม่อาจก้าวล่วงได้
ง. ไม่ได้ เพราะต้องยื่นคำร้องขอให้มีการกำหนดประเด็นข้อพาทและหน้าทีนำสืบก่อนศาลกำหนดประเด็นข้อพิพาทเสร็จ
คำถามข้อที่: 32: ปัญหาที่ศาลไม่จำต้องสืบพยาน
โดยศาลสามารถวินิจฉัยได้เอง คือ ข้อใดดังต่อไปนี้
ก. ปัญหาเกี่ยวกับฟ้องไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ข. ปัญหาเเกี่ยวกับอายุความ
ค. ปัญหาเกี่ยวกับระยะเวลาในการยื่นอุทธรณ์
ง. ถูกทุกข้อ
ก. ปัญหาเกี่ยวกับฟ้องไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ข. ปัญหาเเกี่ยวกับอายุความ
ค. ปัญหาเกี่ยวกับระยะเวลาในการยื่นอุทธรณ์
ง. ถูกทุกข้อ
คำถามข้อที่: 33: นายแดงผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนในคดีผิดสัญญาเช่่าของนายหนึ่งที่เป็นโจทก์ฟ้องนายสองเป็นจำเลย
ได้ไปนั่งทานกาแฟในร้านแห่งหนึ่ง
และแอบได้ยินนายหนึ่งโจทก์ในคดีได้พูดคุยกับนายสามว่า
จริงๆแล้วนายสองไม่ได้ผิดสัญญาแต่ตัวเองอยากเอาไปให้คนอื่นที่ให้ค่าเช่าสูงเช่ามากกว่า
เลยฟ้องนายสองต่อศาล
ดังนี้นายแดงจะนำถ้อยคำดังกล่าวไปไว้ในสำนวนพิจารณาคดีได้หรือไม่
ก. ได้ เพราะเป็นข้อเท็จจริงที่ศาลรับรู้เอง
ข. ได้ เพราะเป็นถ้อยคำที่นายหนึ่งได้เบิกความออกมาด้วยความสมัครใฝจ
ค. ไม่ได้ เพราะไม่ได้เบิกความต่อนายหนึ่งโดยตรง
ง. ไม่ได้ เพราะถือเป็นพยานที่คู่ความไม่ได้นำมาสืบในศาล
ก. ได้ เพราะเป็นข้อเท็จจริงที่ศาลรับรู้เอง
ข. ได้ เพราะเป็นถ้อยคำที่นายหนึ่งได้เบิกความออกมาด้วยความสมัครใฝจ
ค. ไม่ได้ เพราะไม่ได้เบิกความต่อนายหนึ่งโดยตรง
ง. ไม่ได้ เพราะถือเป็นพยานที่คู่ความไม่ได้นำมาสืบในศาล
คำถามข้อที่: 34: ข้อเท็จจริงที่ไม่ต้องพิสูจน์ด้วยพยานหลักฐาน
ก. ข้อเท็จจริงซึ่งรู้กันอยู่ทั่วไป
ข. ข้อเท็จจริงซึ่งไม่อาจโต้แย้งได้
ค. ข้อเท็จจริงที่คู่ความรับหรือถือว่ารับกันแล้วในศาล
ง. ถูกทุกข้อ
ก. ข้อเท็จจริงซึ่งรู้กันอยู่ทั่วไป
ข. ข้อเท็จจริงซึ่งไม่อาจโต้แย้งได้
ค. ข้อเท็จจริงที่คู่ความรับหรือถือว่ารับกันแล้วในศาล
ง. ถูกทุกข้อ
คำถามข้อที่: 35: ข้อใดดังต่อไปนี้ไม่ถือว่าจำเลยในคดีแพ่งรับคำคู่ความ
ก. จำเลยไม่ยื่นคำให้การภายในกำหนด
ข. จำเลยยื่นคำให้การ โดยไม่ได้ปฏิเสธ
ค. คำให้การของจำเลยไม่ได้ให้การถึงประเด็นที่อยู่ในคำฟ้องของโจทก์
ง. ถูกทุกข้อ
ก. จำเลยไม่ยื่นคำให้การภายในกำหนด
ข. จำเลยยื่นคำให้การ โดยไม่ได้ปฏิเสธ
ค. คำให้การของจำเลยไม่ได้ให้การถึงประเด็นที่อยู่ในคำฟ้องของโจทก์
ง. ถูกทุกข้อ
คำถามข้อที่: 36: ในคดีแพ่ง
หากจำเลยให้การปฏิเสธฟ้องโจทก์โดยชัดแจ้ง
เพียงแต่ไม่มีเหตุแห่งการปฏิเสธจะมีผลในทางกฎหมายอย่างไร
ก. ถือว่าเลยรับทุกประเด็น
ข. ถือว่าจำเลยรับในประเด็นที่ไม่มีเหตุแห่งการปฏิเสธ
ค. ถือว่าจำเลยปฏิเสธ แต่ไม่มีสิทธินำพยานหลักฐานเข้าสืบ
ง. ถือว่าจำเลยปฏิเสธ และมีสิทธินำพยานหลักฐานเข้าสืบ แต่ต้องสืบหลังโจทก์เสมอ
ก. ถือว่าเลยรับทุกประเด็น
ข. ถือว่าจำเลยรับในประเด็นที่ไม่มีเหตุแห่งการปฏิเสธ
ค. ถือว่าจำเลยปฏิเสธ แต่ไม่มีสิทธินำพยานหลักฐานเข้าสืบ
ง. ถือว่าจำเลยปฏิเสธ และมีสิทธินำพยานหลักฐานเข้าสืบ แต่ต้องสืบหลังโจทก์เสมอ
คำถามข้อที่: 37: ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับคำท้า
ก. คดีแพ่งและคดีอาญา คู่ความย่อมท้ากันได้
ข. คำถ้าต้องเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับประเด็นแห่งคดี
ค. คำท้าเป็นเรื่องใดก็ได้ เพียงแต่คู่ความอีกฝ่ายต้องยินยอม
ง. ถูกทุกข้อ
ก. คดีแพ่งและคดีอาญา คู่ความย่อมท้ากันได้
ข. คำถ้าต้องเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับประเด็นแห่งคดี
ค. คำท้าเป็นเรื่องใดก็ได้ เพียงแต่คู่ความอีกฝ่ายต้องยินยอม
ง. ถูกทุกข้อ
คำถามข้อที่: 38: ข้อสันนิษฐานตามกฎหมายในข้อใดต่อไปนี้ที่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งไม่อาจหักล้างได้
ก. ปพพ. มาตรา 17 ?ในกรณีบุคคลหลายคนตายในเหตุภยันตรายร่วมกัน ถ้าเป็นการพ้นวิสัยที่จะกำหนดได้ว่าคนไหนตายก่อนหลัง ให้ถือว่า ตายพร้อมกัน?
ข. มาตรา 6 ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า บุคคลทุกคนกระทำการโดยสุจริต
ค. ปพพ. มาตรา 1369 บุคคลใดยึดถือทรัพย์สินไว้ ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าบุคคลนั้นยึดถือเพื่อตน
ง. ถูกทุกข้อ
ก. ปพพ. มาตรา 17 ?ในกรณีบุคคลหลายคนตายในเหตุภยันตรายร่วมกัน ถ้าเป็นการพ้นวิสัยที่จะกำหนดได้ว่าคนไหนตายก่อนหลัง ให้ถือว่า ตายพร้อมกัน?
ข. มาตรา 6 ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า บุคคลทุกคนกระทำการโดยสุจริต
ค. ปพพ. มาตรา 1369 บุคคลใดยึดถือทรัพย์สินไว้ ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าบุคคลนั้นยึดถือเพื่อตน
ง. ถูกทุกข้อ
คำถามข้อที่: 39: วันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2558 นายหนึ่งได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายสองจำเลยที่
1 และนายสามเป็นจำเลยที่ 2 เป็นจำเลยร่วมกันต่อศาล
โดยอ้างว่าเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ.
2557 จำเลยที่ 1 ในฐานะลูกจ้างของจำเลยที่
2 ได้ขับรถยนต์บรรทุกไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 ด้วยความประมาทเลินเล่อ และเฉี่ยวชนโจทก์ซึ่งกำลังปั่นจักรยานจนล้ม
เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับบาดเจ็บและจักรยานของโจทก์ได้รับความเสียหาย
ขอให้ศาลสั่งให้จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ในฐานะนายจ้างร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นค่ารักษาพยาบาล
20,000 บาท และค่าซ่อมจักรยานจำนวน 80,000 บาท
พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ทำละเมิด
จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ร่วมกันยื่นคำให้การว่า
จำเลยที่ 1 ไม่ได้ขับรถด้วยความประมาทชนโจทก์ตามที่กล่าวอ้าง
แต่เพราะโจทก์ได้ขี่จักรยานในเวลากลางคืนโดยไม่มีสัญญานไฟ ทำให้จำเลยไม่สามารถมองเห็นโจทก์เป็นเหตุให้จำเลยไม่สามารถเบรกรถได้ทัน
ซึ่งเป็นความผิดของโจทก์เอง ส่วนจำเลยที่ 2 ให้การว่าจำเลยที่
1 ไม่ใช่ลูกจ้างของจำเลยที่ 2 เพราะจำเลยที่
2 เป็นเพียงผู้ว่าจ้างให้จำเลยที่ 1 ไปส่งของโดยให้ค่าขนส่งครั้งละ
1,000 บาท อันเป็นสัญญาจ้างทำของไม่ใช่สัญญาจ้างแรงงาน จำเลยที่
2 จึงไม่ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ส่วนค่าซ่อมจักรยานที่โจทก์เรียกร้องมานั้นเป็นค่าซ่อมที่เกินความเป็นจริง
ค่าซ่อมจักรยานของโจทก์ที่เสียหายไม่น่าเกิน 500 บาท
ขอให้ศาลยกฟ้องโจทก์
เมื่อโจทก์และจำเลยได้ยื่นคำคู่ความต่อศาลแล้ว
ศาลได้นัดให้คู่ความมาศาลเพื่อชี้สองสถานในวันที่ 29 ธันวาคม 2558 หากท่านเป็นศาลจะกำหนดประเด็นข้อในคดีนี้อย่างไร
ก. จำเลยที่ 1 ทำละเมิดโจทก์หรือไม่
ข. จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างและกระทำในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 หรือไม่
ค. จำเลยที่ 1 ทำละเมิดโจทก์หรือไม่ และจำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างและกระทำในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 หรือไม่
ง. จำเลยที่ 1 ทำละเมิดโจทก์หรือไม่, จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างและกระทำในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 หรือไม่, และค่าสินไหมทดแทนคือจำนวน 80,000 บาทจริงหรือไม่
คำถามข้อที่: 40:
วันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ.
2558 นายหนึ่งได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายสองจำเลยที่ 1 และนายสามเป็นจำเลยที่ 2 เป็นจำเลยร่วมกันต่อศาล
โดยอ้างว่าเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ.
2557 จำเลยที่ 1 ในฐานะลูกจ้างของจำเลยที่
2 ได้ขับรถยนต์บรรทุกไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 ด้วยความประมาทเลินเล่อ และเฉี่ยวชนโจทก์ซึ่งกำลังปั่นจักรยานจนล้ม
เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับบาดเจ็บและจักรยานของโจทก์ได้รับความเสียหาย
ขอให้ศาลสั่งให้จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ในฐานะนายจ้างร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นค่ารักษาพยาบาล
20,000 บาท และค่าซ่อมจักรยานจำนวน 80,000 บาท
พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ทำละเมิด
จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ร่วมกันยื่นคำให้การว่า
จำเลยที่ 1 ไม่ได้ขับรถด้วยความประมาทชนโจทก์ตามที่กล่าวอ้าง
แต่เพราะโจทก์ได้ขี่จักรยานในเวลากลางคืนโดยไม่มีสัญญานไฟ
ทำให้จำเลยไม่สามารถมองเห็นโจทก์เป็นเหตุให้จำเลยไม่สามารถเบรกรถได้ทัน
ซึ่งเป็นความผิดของโจทก์เอง ส่วนจำเลยที่ 2 ให้การว่าจำเลยที่
1 ไม่ใช่ลูกจ้างของจำเลยที่ 2 เพราะจำเลยที่
2 เป็นเพียงผู้ว่าจ้างให้จำเลยที่ 1 ไปส่งของโดยให้ค่าขนส่งครั้งละ
1,000 บาท อันเป็นสัญญาจ้างทำของไม่ใช่สัญญาจ้างแรงงาน จำเลยที่
2 จึงไม่ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ส่วนค่าซ่อมจักรยานที่โจทก์เรียกร้องมานั้นเป็นค่าซ่อมที่เกินความเป็นจริง
ค่าซ่อมจักรยานของโจทก์ที่เสียหายไม่น่าเกิน 500 บาท
ขอให้ศาลยกฟ้องโจทก์
เมื่อโจทก์และจำเลยได้ยื่นคำคู่ความต่อศาลแล้ว
ศาลได้นัดให้คู่ความมาศาลเพื่อชี้สองสถานในวันที่ 29 ธันวาคม 2558
ในประเด็นข้อพิพาท
ว่าค่าสินไหมทดแทนคือจำนวน 80,000
บาทหรือไม่นั้น ผู้ใดมีหน้าที่นำสืบ
ก. โจทก์
ข. จำเลย 1
ค. จำเลยที่ 2
ง. จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2
หากต้องการต้นฉบับพร้อมเฉลย ติดต่ออีเมล chalermwut.up@gmail.com ชุดละ 50 บาทครับ
No comments:
Post a Comment