โดย เฉลิมวุฒิ สาระกิจ
น.บ.(เกียรตินิยมอันดับ ๑), น.ม.(กฎหมายอาญา), น.บ.ท.
อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา
ซื้อหนังสือกฎหมายอาญาเบื้องต้นของผู้เขียน
น.บ.(เกียรตินิยมอันดับ ๑), น.ม.(กฎหมายอาญา), น.บ.ท.
อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา
ซื้อหนังสือกฎหมายอาญาเบื้องต้นของผู้เขียน
นอกจากนี้ปัญหาเกี่ยวกับความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเรานั้นยังมีประเด็นที่สังคมยังถกเถียงกันอีกประเด็น คือ ความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคแรกนั้น แต่เดิมเป็นความผิดอาญาอันยอมความได้สมควรจะแก้ไขให้เป็นความผิดอาญาที่ยอมความไม่ได้หรือไม่
หากพิจารณาดู ความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราเกิดขึ้นบ่อยมาก และมีความร้ายแรงและมีผลกระทบต่อผู้เสียหายมากมาย ทั้งร่างกาย ชื่อเสียง สังคม และที่กระทบมากที่สุด คือ จิตใจของผู้เสียหาย ในเมื่อมันร้ายแรงและส่งผลกระทบมากมายขนาดนี้ เหตุใดกฎหมายไม่ลงโทษผู้กระทำความผิดถึงขั้นประหารชีวิตและกำหนดให้ความผิดฐานนี้เป็นความผิดอันยอมความไม่ได้ เป็นอาญาแผ่นดินไปเสียเลย เพื่อจะให้ผู้กระทำความผิดมันถูกจับกุมดำเนินคดีให้หมด โดยที่ไม่ต้องรอให้ผู้เสียหายไปแจ้งความร้องทุกข์ก่อนจึงจะดำเนินคดีได้ และเมื่อดำเนินคดีไปแล้วก็จะไก่เกลี่ยหรือประนีประนอมยอมกันไม่ได้ เพื่อไม่ให้ผู้ที่กระทำความผิดใช้ช่องทางการไกล่เกลี่ยหรือยอมความบีบให้ผู้เสียหายยุติการดำเนินคดี
ต่อปัญหาข้างต้นขอแยกพิจารณาไปทีละปัญหา
1. ปัญหาเกี่ยวกับลงโทษประหารชีวิตสำหรับความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเรา
เหตุผลของฝ่ายที่เห็นว่าควรลงโทาษผู้กระทำความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่น ตามมาตรา 276 วรรคแรกนั้นควรถูกประหารชีวิตนั้นก็เพื่อให้โทษที่หนักขึ้นถึงขั้นประหารชีวิต เป็นตัวยับยั้งไม่ให้คนคิดจะกระทำผิดฐานนี้ ตามหลักของการลงโทษทางอาญา "โทษหนักสามารถยั้บยั้งอาชญากรรมได้ (Deterrence)" ดังนั้นเมื่อเรางโทษหนักขึ้นคนก็จะกลัวโทษ อีกทั้งการลงโทษหนักถึงขั้นประหารชีวิตนั้นยังเป็นไปตามหลักการลงโทษเพื่อแก้แค้นทดแทน (Retribution)อีกด้วย ดังจะเห็นได้ว่าเมื่อมีเหตุการณ์ข่มขืนกระทำชำเราเกิดขึ้น คนในสังคมจะประณามและเรียก
ร้องให้ลงโทษผู้กระทำความผิดให้หนักหนาสาหัสตามความร้ายแรงที่ได้ทำ
ถามว่า โทษประหารชีวิตสามารถยับยั้งไม่ให้คนถูกข่มขืนได้จริงไหม หากวิเคราะห์ตามทฤษฎีอรรถประโยชน์ (Utility Theory) ของนักเศรษฐศาสตร์ "คนจะตัดสินใจทำอะไรย่อมคำนึงถึงประโยชน์ที่ตนจะได้รับจากการกระทำนั้น หากคุ้มค่าหรือมีกำไรเขาจะเลือกทำ แต่หากทำไปแล้วไม่คุ้มค่าคนจะเลือกไม่ทำ เพราะทำไปแล้วก็ไม่คุ้ม ขาดทุน" ดังนั้นหากต้องการยับยั้งอาชญากรรมใดก็ตาม ต้องพยายามทำให้คนที่จะก่ออาชญากรรมนั้นเห็นว่ามันไม่คุ้มค่า ดังนั้นเราสามารถยับยั้งอาชญากรรมได้ โดยการทำให้ต้นทุนของการกระทำความผิดสูงขึ้น เพราะต้นทุนสูงขึ้น ทำผิดแล้วไม่คุ้ม ผู้กระทำจะเลือกไม่กระทำนนั่นเอง
ปัญหาต่อมาว่า เราจะเพิ่มต้นทุนผู้กระทำความผิดให้สูงขึ้นได้อย่างไร
การทำให้ต้นทุนในการกระทำความผิดสูงขึ้นสามารถทำได้ 2 วิธี คือ การเพิ่มโทษให้สูงขึ้น และเพิ่มโอกาสในการถูกจับกุม
อย่างนั้นแสดงว่าการเพิ่มโทษฐานข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่นให้หนักขึ้นถึงขั้นประหารชีวิตแล้ว สามารถยับยั้งไม่ให้มีผู้กระทำความผิดฐานนี้ได้ ตรงนี้จริงหรือไม่ มาลองวิเคราะห์กันโทษประหารชีวิตไม่สามารถยับยั้งคนที่ไม่ได้คิดก่อนลงมือกระทำความผิด เช่น คนเมาสุรา เมายา คนโรคจิต คนเหล่านี้ไม่ได้คิดไตร่ตรองถึงโทษที่จะได้รับตามกฎหมายหากกระทำความผิด ดังนั้น แม้เราจะแก้โทษให้ถึงขั้นประหารชีวิต ก็ไม่อาจจะยับยั้งคนเหล่านี้ได้ แม้โทษจะสูงขึ้นแต่ประสิทธิภาพในการจับกุมดำเนินคดีต่ำ การเพิ่มโทษก็ไม่เกิดประโยชน์ เพราะหากผู้กระทำความผิดเห็นว่าหากตนกระทำความผิดไปโอกาสที่จะถูกจับกุมได้นั้นยาก แม้โทษตามกฎหมายจะสูง คนเหล่านี้ก็คิดจะทำอยู่ดี เช่น คนที่คิดว่าเขามีอิทธิตำรวจไม่สามารถทำอะไรเขาได้ แม้โทษจะสูง คนเหล่านี้ก็กระทำอยู่ดี
ดังนั้นจะเห็นว่าโทษที่หนักขึ้นสามารถยับยั้งได้เฉพาะกับคนที่คิดและไตร่ตรองก่อนเท่านั้นว่าคุ้มหรือไม่คุ้มกับผลที่จะได้รับ ซึ่งหากคนที่เขาคิดได้อย่างนั้นแม้โทษไม่ถึงกับประหารชีวิตเขาก็เลือกไม่ทำอยู่ดี ทีนี้หากเราแก้โทษให้ความผิดฐานข่มขืนมีโทษถึงประหารชีวิตจะมีผลอะไรตามมา
อย่างที่ได้กล่าวไปแล้ว โทษประหารชีวิตไม่อาจยับยั้งคนที่จะกระทำความผิดฐานนี้ได้ แถมยังส่งผลเสียต่อผู้เสียหายอีกด้วย เพราะเมื่อเหยื่อถูกข่มขืนแล้วคนที่กระทำความผิดจะได้สติกลับมา จะเริ่มกลัวความผิด เริ่มกลัวถูกดำเนินคดี ดังนั้นคนเหล่านี้จะพยายามทำทุกวิธีเพื่อไม่ให้ตนเองถูกำเนินคดี เช่น การฆ่าเหยือปิดปาก
เหตุใดเหยื่อจึงจะถูกฆ่าตายหลังจากข่มขืนเสร็จ เพราะการฆ่าเหยื่อเป็นประโยชน์ต่อผู้กระทำความผิดมากกว่า มีประโยชน์มากกว่าอย่างไร หากโทษข่มขืนกระทำชำเราถึงขั้นประหารชีวิต การฆ่าเหยื่อตายโทษของการกระทำความผิดก็เท่าเดิมกับการข่มขืน คือ ประหารชีวิต แต่ที่เป็นประโยชน์ เพราะคดีนี้จะขาดพยานสำคัญในคดีเนื่องมาจากผู้เสียหายตายแล้ว ไม่มีคนไปเบิกความที่ศาล ซึ่งหากมองในมุมของผู้กระทำความผิดแล้ว การฆ่าเหยื่อให้ตายมีแต่ประโยชน์
การที่กฎหมายกำหนดช่วงระยะความหนักเบาของโทษฐานข่มขืนกระทำชำเราตาม มาตรา 276 วรรคแรก กับโทษฐานข่มขืนกระทำชำเราเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย ตามมาตรา 276 วรรคท้าย โทษของสองฐานความผิดนี้ต้องมีระยะห่างกัน เพื่อให้ระยะห่างของโทษ เป็นตัวยับยั้งไม่ให้ผู้กระทำความผิดฆ่าเหยือหลังจากการข่มขืน เช่น หากข่มขืนมีโทษจำคุกอย่างสูงไม่เกิน 20 ปี แต่ถ้าข่มขืนแล้วฆ่าจะมีโทษประหารชีวิต ความหนักเบาของโทษที่เพิ่มขึ้นหากฆ่าเหยื่อตาย จะเป็นตัวยับยั้งผู้กระทำความผิดให้พอแค่ข่มขืนเหยื่อเท่านั้น เพราะหากฆ่าเหยื่อโทษจะหนักขึ้นถึงขั้นประหารชีวิต และการฆ่าเหยือก็ไม่ใช่ความต้องการของผู้กระทำความผิดอยู่แล้ว
ในประเด็นของการเพิ่มโทษนี้ ผู้เขียนเห็นว่า การเพิ่มโทษการกระทำความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราตาม มาตรา 276 วรรคแรกให้มีโทษถึงประหารชีวิต ไม่สามารถยับยั้งคนที่จะกระทำความผิดฐานนี้ได้เลย ดังนั้นการเพิ่มโทษให้หนักขึ้นเพียงแต่ทำให้ประชาชนทั่วไปรู้สึกปลอดภัยมากขึ้น ทั้งที่ความจริงไม่ใช่ โทษที่หนักขึ้นผู้เขียนเห็นว่าจะเป็นไปตามงวัตถุประสงค์ของการลงโทษเพื่อแก้แค้นทดแทนมากกว่า ผู้เขียนเห็นว่า การเพิ่มโทษไม่ได้ให้เหยือปลอดภัยจากการข่มขืนมากขึ้น แถมยังนำมาซึ่งผลร้ายของเหยือมากกว่าเดิมด้วย
ความผิดฐานนี้ส่วนใหญ่เกิดจากคนใกล้ชิดมากกว่าคนอื่น เช่น แฟน เพื่อน คนรู้จัก มากกว่าจะเกิดจากคนแปลกหน้า เพราะคนใกล้ชิดมีโอกาสที่จะกระทำความผิดมากกว่าคนอื่น เพราะฉะนั้นทางที่ดีการป้องกันตัวเองไมาให้ตกเป็นเหยื่อ เป็นวิธีการที่ดีที่สุด "นอนปิดประตูลงกลอน ใครก็เข้ามาทำอะไรเราไม่ได้
2. ปัญหาเกี่ยวกับการบัญญัติความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเรา ตามมาตรา 276 วรรคแรก ให้เป็นความผิดอันยอมความไม่ได้
No comments:
Post a Comment