1. แนวความคิดเกี่ยวกับทฤษฎีรูปแบบของกระบวนยุติธรรมทางอาญา
รัฐ (State) ที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย เป็นรัฐที่ต้องเคารพสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ประชาชนย่อมมีสิทธิและเสรีภาพในการดำเนินชีวิตอย่างเสรี เว้นแต่บางกรณี บางเรื่องเท่านั้นที่ไม่สามารถจะทำได้ ซึ่งเรื่องที่ทำไม่ได้หรือห้ามนั้นถือเป็นข้อยกเว้นของระบอบการปกครองนี้ และการที่รัฐจะจำกัดสิทธิ เสรีภาพของประชาชน จะทำได้จะต้องมีกฎหมายให้อำนาจไว้เท่านั้นตามหลักนิติรัฐ(Legal state) เมื่อเกิดการละเมิดต่อกฎหมายที่รัฐห้ามแล้ว(เฉพาะคดีอาญา) รัฐจำเป็นจะต้องมีกระบวนการที่จะคุ้มครองความปลอดภัยและความสงบเรียบร้อยของประชาชนในรัฐไม่ให้ถูกกระทบกระเทือนจากการละเมิดต่อกฎหมายดังกล่าว ดังนั้นในแต่ละรัฐ จึงมีกระบวนการในการที่จะนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษ เพื่อคุ้มครองประชาชนคนอื่นๆ ให้ปลอดภัยจากการกระทำละเมิดกฎหมายอาญานั้น
ในปัจจุบันนั้นมีแนวความคิดที่เกี่ยวกับการจัดรูปแบบของกระบวนการยุติธรรมทางอาญา มีอยู่ด้วยกัน 2 รูปแบบด้วยกัน คือ ทฤษฎีการควบคุมอาชญากรรม (Crime Control Model) และทฤษฎีความชอบด้วยกระบวนการทางกฎหมาย (Due Process Model) โดยแต่ละแนวนั้นมีความแตกต่างกันในแนวความคิดและมีความขัดแย้งกันคอยถ่วงดุลกันอยู่ (balance )
1) ทฤษฎีการควบคุมอาชญากรรม (Crime Control Model)
เป็นรูปแบบที่เน้นการส่งเสริมประสิทธิภาพของกระบวนการยุติธรรมทางอาญา โดยมุ่งควบคุม ระงับ และปราบปรามอาชญากรรมเป็นหลัก(ขั้นตอนในกระบวนการยุติธรรมนั้นต้องรวบรัด และมีประสิทธิภาพ) แม้การกระทำของเจ้าพนักงานในกระบวนการยุติธรรมนั้นจะกระทบกระเทือนต่อสิทธิ ของประชาชนก็ตาม แต่เพื่อประโยชน์ของสังคมโดยส่วนรวมแล้วย่อมทำได้ เช่น ตำรวจเป็นผู้ออกหมายจับได้เอง มีอำนาจในการสืบสวนและสอบสวนคดีอย่างมาก เพื่อให้มีประสิทธิภาพในการนำตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษนั้นเอง
รูปแบบนี้จะเน้นไปที่การควบคุมและปราบปรามอาชญากรรมอย่างเต็มที่ ส่วนเรื่องการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของบุคคลนั้นเป็นเรื่องรองลงไป เช่น กระบวนการในการได้พยานหลักฐานมานั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่หากว่าพยานหลักฐานนั้นสามารถที่จะพิสูจน์ถึงความผิดของจำเลยได้ ศาลก็อาจจะรับฟังได้ เพื่อลงโทษจำเลย
2) ทฤษฎีความชอบด้วยกระบวนการทางกฎหมาย (Due Process Model)
รูปแบบนี้เป็นรูปแบบที่ยึดหลักกฎหมายเป็นสำคัญ และเป็นรูปแบบที่ยึดการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน ซึ่งเป็นไปตามหลักนิติธรรม (Rule of Law) ที่ถือค่านิยมในเรื่องกระบวนการยุติธรรมตามขั้นตอนต่าง ๆ ในกระบวนการต้องชอบด้วยกฎหมาย และต่อต้านการใช้อำนาจรัฐโดยมิชอบซึ่งมักจะเกิดจากการที่รัฐมุ่งที่จะควบคุมอาชญากรรมโดยไม่คำนึงถึงสิทธิของประชาชน เป็นเหตุให้สิทธิและเสรีภาพของประชาชนถูกกระทบกระเทือนจากการปราบปรามอาชญากรรมของรัฐอย่างมาก
ดังนั้นรัฐที่ยึดถือทฤษฎีความชอบด้วยกระบวนการทางกฎหมาย (Due Process Model) จึงต้องมีกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาที่เน้นหนักไปในทางที่คุ้มครองสิทธิและ เสรีภาพของผู้บริสุทธิ์มิให้ถูกล่างละเมิดโดยไม่เป็นธรรมจากเจ้าพนักงานของ รัฐ เช่น สิทธิของผู้เสียหาย สิทธิของผู้ถูกกล่าวหา สิทธิของจำเลย การค้น การจับจะต้องมีหมายซึ่งออกโดยศาล เป็นต้น และหากบางกรณีมีพยานหลักฐานชิ้นสำคัญในการที่จะพิสูจน์ความผิดของจำเลยได้ แต่หากว่ากระบวนการที่ได้มานั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย ก็ไม่อาจจะรับฟังเพื่อลงโทษจำเลยได้ แม้พยานหลักฐานนั้นเป็นพยานหลักฐานที่เกิดขึ้นโดยชอบก็ตาม
ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาของไทยก็มีการนำหลักการของทั้ง 2 ทฤษฎีมาเป็นแนวทางในการบัญญัติเป็นกฎหมายด้วย
มาตรา 78 "พนักงานฝ่ายปกครองหรือ ตำรวจจะจับผู้ใดโดยไม่มีหมายจับหรือคำสั่งของศาลนั้นไม่ได้ เว้นแต่
(1) เมื่อบุคคลนั้นได้กระทำ ความผิดซึ่งหน้าดังได้บัญญัติไว้ใน มาตรา 80
(2) เมื่อพบบุคคลโดยมีพฤติ การณ์อันควรสงสัยว่าผู้นั้นน่าจะก่อเหตุร้ายให้เกิดภยันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินของผู้อื่น โดยมีเครื่องมือ อาวุธ หรือวัตถุอย่างอื่นอันสามารถอาจใช้ในการกระทำความผิด
(3) เมื่อมีเหตุที่จะออกหมายจับบุคคลนั้นตาม มาตรา 66 (2) แต่มีความจำเป็นเร่งด่วนที่ไม่อาจขอให้ศาลออกหมายจับบุคคลนั้นได้
(4) เป็นการจับผู้ต้องหาหรือ จำเลยที่หนีหรือจะหลบหนีในระหว่างถูกปล่อยชั่วคราวตามมาตรา 117"
จะเห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 78 วรรคแรกบัญญัติว่า พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจจะจับผู้ใดโดยไม่มีหมายจับหรือคำสั่งของศาลนั้นไม่ได้ ซึ่งเป็นไปตามหลัก Due Process Model ต้องมีหมายของศาลเสียก่อน ซึ่งถือว่าเป็นการคุมครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนจากการจับหรือค้นของเจ้าหน้าที่รัฐ โดยให้ศาลเป็นผู้คอยกลั่นกรองว่ามีเหตุอันสมควรให้ออกหมายหรือไม่ ส่วนตาม (1) - (4) นั้นเป็นการให้อำนาจเจ้าหน้าที่ของรัฐเพื่อให้สามารถปราบปรามอาชญากรรมได้อย่างทันถ่วงที ซึ่งเป็นไปตามหลัก Crime Control Model ที่เน้นการส่งเสริมประสิทธิภาพของกระบวนการยุติธรรมทางอาญา
จะเห็นว่าทฤษฎีการควบคุมอาชญากรรม (Crime Control Model) และทฤษฎีความชอบด้วยกระบวนการทางกฎหมาย (Due Process Model) นั้น แม้จะมีขึ้นมาเพื่อให้สังคมนั้นอยู่รวมกันอย่างสงบสุขและมีความปลอดภัยจากอาชญากรรมก็ตาม แต่มีความแตกต่างกันในแนวความคิดอยู่ หากรัฐมุ่งที่จะควบคุมอาชญากรรมอย่างมีประสิทธิภาพเด็ดขาด สิทธิและเสรีภาพของประชาชนก็จะถูกกระทบกระเทือนมากตามไปด้วย และหากรัฐมุ่งที่จะให้สิทธิและเสรีภาพแก่ประชาชนมาก การควบคุมอาชญากรรมอาจทำได้ไม่สะดวกซึ่งส่งผลต่อประสิทธิภาพของการควบคุมอาชญากรรมก็ลดตามไปด้วย
เมื่อพิจารณาแล้วเหมือนกับว่าทั้งสองแนวความคิดทั้ง 2 แนวนั้นแตกต่างกัน จนอาจจะดูเหมือนเส้นขนานที่ไม่อาจจะอยู่ร่วมกันได้ หากให้น้ำหนักไปทางใดทางหนึ่งอีกทางก็ต้องเอนเอียง ต่ำหรือสูงไปด้วย(เปรียบดั่ง Crime Control Model นั้นเป็นแกน X ส่วน Due Process Model นั้นเป็นแกน Y) ดังนั้นจึงเป็นความยากของรัฐและนักกฎหมายที่จะหาจุดสมดุล ระหว่างแนวคิดทั้ง 2 ทฤษฎี เพื่อให้กระบวนการดำเนินคดีอาญาของไทยมีประสิทธิภาพในการควบคุมอาชญากรรมและ ในขณะเดียวกันก็กระทบกระเทือนสิทธิเสรีภาพของบุคคลให้น้อยที่สุด และเปิดโอกาสให้ต่อสู้คดีได้อย่างเต็มที่และเสรี หากให้น้ำหนักไปทางแนวความคิดใดแนวหนึ่งย่อมเสียสมดุลของกระบวนการยุติธรรม ทางอาญาไป
สรุปได้ว่า ทฤษฎีว่าด้วยการควบคุมอาชญากรรม (Crime Control Model) เป็นรูปแบบที่เน้นประสิทธิของกระบวนยุติธรรม โดยมุ่งควบคุม ระงับ ปราบปรามอาชญากรรมเป็นหลัก หากเจ้าหน้าที่รัฐไม่สามารถจับกุมผู้กระทำความผิดมาดำเนินคดีได้จะส่งผลกระทบต่อความสงบสุขเรียบร้อยของประชาชน ทำให้มีสถิติการจับกุมดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดที่ที่สูง นอกจากนี้มีการดำเนินคดีตามขั้นตอน จับ ควบคุมตัว การสอบสวน การฟ้องร้อง การพิจารณาพิพากษาลงโทษจำเลย เป็นขั้นตอนที่รวบรัด และมีประสิทธิภาพ โดยเชื่อว่าการค้นหาความจริงโดยพนักงานตำรวจ อัยการก็เพียงพอที่จะเชื่อได้ว่าผู้กระทำมีความผิดจริง
จะเห็นได้ว่าตามทฤษฎีว่าด้วยการควบคุมอาชญากรรม (Crime Control Model) เน้นการการปราบปรามอาชญากรรมเป็นเรื่องหลัก เรื่องการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของบุคคลเป็นเรื่องรองลงไป ดังนั้นถ้าประเทศใดเน้นการควบคุมอาชญากรรมเป็นหลัก กฎหมายวิธีพิจารณาความของประเทศนั้นจะมีบทบัญญัติให้อำนาจเจ้าหน้าที่มาก ส่วนทฤษฎีว่าด้วยความชอบด้วยกระบวนการทางกฎหมาย (Due Process Model) นั้นยึดหลักกฎหมายเป็นสำคัญ (rule of law) และยึดการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนเป็นสำคัญ กระบวนขั้นตอนต่าง ๆ เช่น การจับ การค้น การควบคุมตัว การพิจารณาพิพากษาลงโทษจำเลยต้องเป็นธรรม และต่อต้านการใช้อำนาจรัฐที่ไม่ชอบ ซึ่งตรงข้ามกับทฤษฎีว่าด้วยการควบคุมอาชญากรรม (Crime Control Model) ดังนั้นถ้าประเทศใดเน้นความชอบด้วยกระบวนการทางกฎหมาย การเป็นหลัก กฎหมายวิธีพิจารณาความของประเทศนั้นจะมีบทบัญญัติให้ความคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนมาก
2. ระบบการพิจารณาคดีอาญา
ระบบการพิจารณาคดีในศาลมีผลต่อกฎหมายวิธีพิจารณาของประเทศนั้น ๆ ซึ่งในการพิจารณาคดีอาญาในปัจจุบันมี 2 ระบบ โดยพิจารณาตามระบบกฎหมายกฎหมาย ในระบบกฎหมายแบบคอมมอนลอว์ (Common Law) จะใช้ระบบกล่าวหา (Adversarial system) สวนประเทศที่ใช้ระบบกฎหมายแบบ (Civil Law) ใช้การพิจารณาแบบระบบไต่สวน (Inquisitorial system) แม้การพิจารณาคดีอาญาจะมีขึ้นมาเพื่อพิจารณาความผิดและลงโทษจำเลยเพื่อให้เกิดความยุติธรรมก็ตาม แต่การพิจารณาคดีอาญาทั้ง 2 ระบบก็มีความแตกต่างกันในหลาย ๆ เรื่อง ดังต่อไปนี้
1) แนวความคิดที่แตกต่างกัน
ระบบกล่าวหา (Adversarial system) นั้นแนวคิดของระบบนี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการประกันสิทธิเสรีภาพของผู้ถูกกล่าวหาหรือจำเลย (แนวความคิดค่อนไปทาง Due process) ดังนั้นในระบบนี้การพิจารณาคดีจะมีกระบวนขั้นตอนต่าง ๆ มากมายที่จะพิสูจน์ความผิดหรือบริสุทธ์ของผู้ถูกกล่าวหาและเปิดโอกาสให้ผู้ถูกกล่าวหาได้ต่อสู้คดีอย่างเต็มที่ แต่แนวความคิดของระบบไต่สวน (Inquisitorial system) ตั้งอยู่บนพื้นฐานของประโยชน์สาธารณะในการที่จะดำเนินคดีและลงโทษผู้กระทำผิด (แนวคิดค่อนไปทาง Crime Control) ดังนั้นหากการดำเนินคดีอาญาเรื่องนั้นเป็นเรื่องของประโยชน์สาธารณะ (Public Interest) แม้ผู้เสียหายไม่ติดใจเอาความก็ต้องดำเนินคดีอาญาต่อไป
ดังนั้นการที่แนวความคิดพื้นฐานที่ต่างกันนี้ทำในระบบกล่าวหาศาลมักจะวางตัวเป็นกลาง ส่วนในระบบไต่สวนศาลจะมีบทบาทในการถามพยานเพื่อค้นหาความจริง
2) วิธีพิจารณาที่แตกต่างกัน
ระบบกล่าวหา (Adversarial system) มีวิธีพิจารณาแบบเปิดเผย ทุกคนมีสิทธิเข้าฟังการพิจารณาได้ (เห็นได้จากห้องพิจารณาคดีของระบบนี้จะเป็นห้องใหญ่และมีที่นั่งสำหรับประชนสามารถเข้าไปฟังการพิจารณาได้ แม้ไม่ได้เป็นผู้ที่เกี่ยวข้องกับคดี) และมีวิธีพิจารณาคดีด้วยวาจา (Oral proceedings) ซึ่งทั้งนี้ก็เป็นผลมาจากการพิจารณาแบบเปิดเผย เพื่อให้ทุกคนที่ฟังการพิจารณาคดีได้ทราบข้อเท็จจริงในคดี และในระบบนี้มีการพิจารณาคดีแบบคู่พิพาท (ฝ่ายที่กล่าวหากับฝ่ายที่ถูกกล่าวหา หรือโจทก์และจำเลยในคดี) โดยที่ศาลจะวางตัวเป็นกลางและรับฟังการนำสืบของคู่พิพาทเพื่อตัดสินคดี การพิสูจน์ข้อเท็จจริงในระบบนี้จึงเป็นหน้าที่ของคู่พิพาท
ส่วนระบบไต่สวน (Inquisitorial system) มีการพิจารณาคดีด้วยลายลักษณ์อักษร ใช้เอกสารเป็นหลักในการฟ้องร้องและให้การสู้คดี รวมถึงการชี้แจงต่าง ๆ ต่อศาลก็ทำเป็นลายลักษณ์อักษร มีการพิจารณาแบบไม่มีคู่พิพาท มีเพียงแต่ฝ่ายผู้ไต่สวนกับผู้ถูกไต่สวน โดยที่ฝ่ายที่ถูกไต่สวนจะมีลักษณะตั้งรับ (Passive) กระบวนการทั้งหมดมาจากฝ่ายผู้ไต่สวนเพียงฝ่ายเดียว ดังนั้นในระบบนี้จึงมีแต่ฝ่ายที่เป็นผู้ไต่สวนกับฝ่ายที่ถูกไต่สวนเท่านั้น นอกจากนี้ระบบไต่สวนยังมีการพิจารณาคดีแบบลับ กระบวนการไต่สวนจะไม่ทำในที่สาธารณะ และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องจะไม่ทราบอะไรมากนัก บุคคลที่เป็นพยานในคดีเองก็ไม่ทราบว่าไต่สวนเรื่องอะไรและใครเป็นผู้ต้องหา (ทั้งนี้เพื่อให้ได้ความจริงมากที่สุด)
3) ที่มาของผู้พิพากษาต่างกัน
ระบบกล่าวหา (Adversarial system) ศาลในระบบกล่าวหาที่ทำหน้าที่มักจะไม่ใช่ผู้พิพากษาอาชีพในการตัดสินคดี เนื่องจากระบบกล่าวหามีแนวคิดเพื่อให้ประชาชนได้ตรวจสอบ ดังนั้นจึงใช้ระบบลูกขุนซึ่งเป็นประชาชนธรรมดา เมื่อคณะลูกขุนได้ฟังการพิจารณาคดีเสร็จแล้วคณะลูกขุนจะตัดสินว่าจำเลยมีความผิดหรือไม่มีความผิด (guilty or not guilty)
ส่วนระบบไต่สวน (Inquisitorial system) จะใช้ผู้พิพากษาอาชีพในการตัดสินคดี เพราะการดำเนินคดีในระบบไต่สวนมีเทคนิคมากกว่าการดำเนินคดีระบบกล่าวหา ศาลที่ทำหน้าที่ไต่สวนต้องใช้ความรู้ความสามารถในการดำเนินคดีอย่างมาก
ข้อแตกต่างนี้ ยังไม่สามารถแยกความแตกต่างของทั้งสองระบบออกจากกันได้อย่างเด็ดขาด เพราะในบางประเทศก็ใช้ผสมกัน เช่น ประเทศไทย ที่การดำเนินคดีในศาลยุติธรรมใช้ระบบกล่าวหา แต่ศาลมาจากผู้พิพากษาอาชีพเป็นผู้คอยตัดสินผิดหรือถูก
4) ผู้ริเริ่มคดีแตกต่างกัน
ระบบกล่าวหา (Adversarial system) ผู้ริเริ่มคดีจะเป็นองค์กรอื่นที่ไม่ใช่ศาล มีการแยกอำนาจฟ้องคดีออกจากอำนาจตัดสินคดีอย่างชัดเจน เพื่อไม่ให้ศาลมีอคติในการตัดสินคดี เช่น ให้การฟ้องร้องคดีเป็นอำนาจหน้าที่ขององค์การอัยการ ส่วนในระบบไต่สวน (Inquisitorial system) ผู้ฟ้องคดีจะเป็นศาลไต่สวนเอง ผู้พิพากษามีอำนาจในการเริ่มทำการไต่สวนได้เองหากเห็นการกระทำผิด
แต่ในปัจจุบัน ส่วนใหญ่อำนาจฟ้องคดีกับอำนาจตัดสินคดีมักจะแยกออกจากกัน แม้ประเทศที่ใช้ระบบไต่สวน เช่น ฝรั่งเศส ก็มีการแยกอำนาจฟ้องคดีออกจากศาล อัยการเป็นผู้มีอำนาจฟ้องคดีต่อศาล
5) วิธีการรวบรวมพยานหลักฐานต่างกัน
ระบบกล่าวหา (Adversarial system) คู่ความจะทำหน้าที่รวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมดเพื่อนำเสนอต่อศาล และยังต้องเปิดเผยพยานหลักฐานก่อนมีการสืบให้อีกฝ่ายได้รับรู้อีกด้วย (สังเกต ตาม วิธีพิจารณาของไทย จะต้องมีการยื่นบัญชีระบุพยานก่อน) ส่วนในระบบไต่สวน (Inquisitorial system) ศาลในระบบไต่ส่วนจะมีหน้าที่ในการรวบรวมพยานหลักฐานทั้งปวง
6) การดำเนินคดีรับสารภาพที่แตกต่างกัน
ระบบกล่าวหา (Adversarial system) ศาลจะถามคำให้การจำเลยว่าจำเลยจะให้การรับสารภาพหรือปฏิเสธ ถ้าจำเลยรับสารภาพก็สามารถลงโทษจำเลยได้เลย แต่ถ้าจำเลยปฏิเสธศาลก็ต้องดำเนินการสืบพยานต่อไปจนเสร็จคดี ส่วนในระบบไต่สวน (Inquisitorial system) แม้จำเลยให้การรับสารภาพ ศาลก็จะต้องดำเนินคดีไต่สวนความจริงต่อไป แต่ทั้งนี้การดำเนินคดีอาจจะไม่เต็มรูปแบบเหมือนจำเลยปฏิเสธ
การแยกความแตกต่างระหว่างระบบไต่สวน (Inquisitorial system) และระบบกล่าวหา(Adversarial system) หากศึกษาถึงวิวัฒนาการ แนวคิด รวมถึงรายละเอียดของทั้งสองระบบให้ดีแล้วจะทำให้เราเข้าใจ ระบบการดำเนินคดีมากขึ้น ทั้งสองระบบต่างก็มีข้อดีและข้อด้อยแตกต่างกัน และถูกนำมาเป็นพื้นฐานในการพิจารณาคดีอาญาในศาลต่าง ๆ ทั่วโลก ทั้งในศาลยุติธรรม ศาลปกครอง รวมถึงศาลระหว่างประเทศ เช่น ศาลอาญาระหว่างประเทศ
ทั้งนี้ทั้งนั้น ในแต่ละประเทศ แม้จะใช้ระบบกล่าวหาหรือระบบไต่ส่วนเหมือนกัน แต่รายละเอียดมักจะไม่เหมือนกัน หลาย ๆ ประเทศก็นำไปปรับเปลี่ยนให้เข้ากับระบบกฎหมายและวิธีพิจารณาของประเทศตัวเอง แต่โดยหลักการแล้วไม่แตกต่างกัน
ส่วนหลักการดำเนินคดีอาญาของไทยนั้นใช้ระบบใดระหว่างระบบกล่าวหา (Adversarial system) หรือระบบไต่สวน (Inquisitorial system) ก็ต้องพิจารณาว่าการดำเนินคดีมีการแยกอำนาจฟ้องร้องออกจากอำนาจพิจารณาคดีหรือไม่ การวางตัวของศาลเป็นกรรมการหรือเป็นผู้ไต่สวนการพิจารณาคดีในศาลเปิดเผยหรือไม่ การสืบพยานนั้นกระทำด้วยวาจาหรืเอกสาร และใช้ผู้พิพากษาอาชีพในการตัดสินคดีหรือไม่ รวมถึงมีการคุ้มครองสิทธิของผู้ต้องหาหรือจำเลยหรือไม่
3. ความแตกต่างของคดีแพ่งกับคดีอาญา
คดีแพ่งเป็นเรื่องของการพิพาทกันระหว่างเอกชน ไม่ได้กระทบกระเทือนถึงความสงบเรียบร้อยของประชาชน ตั้งอยู่บนพื้นฐานของเสรีภาพและความสมัครใจของเอกชน การพิจารณาคดีจึงไม่เข้มงวดเหมือนกับการพิจารณาคดีอาญา ซึ่งเป็นเรื่องที่กระทบต่อความสงบสุขของสังคมโดยรวม ไม่ได้ยึดเสรีภาพและความสมัครใจของโจทก์จำเลยเหมือนกับคดีแพ่ง ดังนั้นในคดีอาญาแม้ผู้เสียหายไม่ติดใจเอาความ รัฐก็ต้องดำเนินคดีต่อไปเพื่อให้ผู้กระทำความผิดได้รับโทษตามกฎหมาย อีกทั้งการดำเนินคดีอาญาเป็นมีการกระทบกระเทือนสิทธิและเสรีภาพของประชาชน เช่น มีการจับกุม การควบคุมตัว การขัง ดังนั้นการดำเนินคดีอาญาจึงมีความจำเป็นที่ต้องมีกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดมากกว่าคดีแพ่ง
ในคดีแพ่งนั้นมาตรฐานการพิสูจน์ของคู่ความที่จะต้องนำพยานหลักฐานมาสืบนั้น เพียงแต่สามารถทำให้ศาลเห็นว่าพยานหลักฐานฝ่ายตนมีน้ำหนักมากกว่าอีกฝ่ายหนึ่งก็ชนะคดี แต่สำหรับมาตรฐานการพิสูจน์ในคดีอาญานั้น การพิสูจน์จะต้องทำให้ศาลที่พิจารณาคดีเชื่อได้ว่าจำเลยได้กระทำความผิดจริง หากพิสูจน์ไม่ถึงหรือศาลยังสงสัยอยู่ ฝ่ายที่กล่าวอ้างก็แพ้คดี ดังที่ปรากฏในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 ให้ศาลใช้ดุลพินิจวินิจฉัยชั่งน้ำหนักพยานหลักฐาน ทั้งปวงอย่าพิพากษาลงโทษจนกว่าจะแน่ใจว่ามีการกระทำผิดจริง และจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดนั้น และตามวรรคสองเมื่อมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยได้กระทำผิดหรือไม่ ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลย
การรับข้อเท็จจริงโดยคู่ความนั้นในคดีแพ่ง หากคู่ความไม่ปฏิเสธข้อกล่าวอ้างของโจทก์ถือว่ารับ ศาลไม่ต้องกำหนดไว้เป็นประเด็นข้อพิพาท เพราะจำเลยรับแล้วหรือแม้แต่การนิ่ง เช่น จำเลยไม่ได้ให้การถึงในประเด็นดังกล่าวก็ถือว่าจำเลยรับเช่นเดียวกัน ส่วนในคดีอาญา แม้คู่ความไม่ปฏิเสธข้อกล่าวอ้าง แต่ไม่ได้รับสารภาพ ก็ถือว่าจำเลยปฏิเสธข้อกล่าวอ้างของโจทก์
ภาระการพิสูจน์ในคดีอาญาโจทก์เป็นผู้ฟ้องว่าจำเลยกระทำความผิดอาญา โจทก์จึงมีภาระการพิสูจน์ให้ศาลเห็นว่าจำเลยกระทำความผิดจริงตามฟ้อง เช่น ในคดีที่จำเลยให้การปฏิเสธ หรือจำเลยไม่ให้การใด ๆ เลย โจทก์ก็มีหน้าที่ต้องพิสูจน์ตามข้อกล่าวอ้างของโจทก์
ส่วนคดีที่จำเลยรับสารภาพโดยหลักแล้วเมื่อจำเลยรับแล้วก็ไม่ต้องสืบพยานกันอีก เว้นเสียแต่ว่าเป็นคดีที่มีโทษหนัก แม้จำเลยสารภาพแล้วก็ต้องสืบพยานประกอบคำรับสารภาพ ดังที่ปรากฏในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 176 ในชั้นพิจารณา ถ้าจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง ศาลจะพิพากษาโดยไม่สืบพยานหลักฐานต่อไปก็ได้ เว้นแต่คดีที่มีข้อหาในความผิดซึ่งจำเลยรับสารภาพนั้น กฎหมายกำหนดอัตราโทษอย่างต่ำไว้ให้จำคุกตั้งแต่ห้าปีขึ้นไปหรือโทษสถานที่หนักกว่านั้น ศาลต้องฟังพยานโจทก์จนกว่าจะพอใจว่าจำเลยได้กระทำผิดจริง
พยานหลักฐานเป็นสิ่งที่เรานำมาพิสูจน์ข้อเท็จจริง(ข้อกฎหมายไม่ต้องใช้พยานหลักฐาน) ที่โจทก์หรือจำเลยกล่าวอ้างเพื่อแสดงให้ศาลเชื่อว่าข้อเท็จจริงเป็นไปตามที่กล่าวอ้างนั้น หากศาลเห็นว่าพยานหลักฐานของฝ่ายใดมีน้ำหนักน่าเชื่อถือมากกว่า(ศาลรับฟังพยานหลักฐาน) ก็จะตัดสินให้ฝ่ายนั้นชนะคดี ตามมาตรฐานการพิสูจน์ของประเภทคดี เช่น ในคดีแพ่งหากพยานหลักฐานฝ่ายใดมีน้ำหนักมากกว่าอีกฝ่ายหนึ่ง ศาลก็จะตัดสินให้ชนะคดี แต่หากเป็นคดีอาญา โจทก์ต้องนำพยานหลักฐานมาพิสูจน์ให้เชื่อโดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยได้กระทำผิดจริงจึงจะชนะคดี หากศาลสงสัยศาลก็อาจจะยกประโยชน์ความสงสัยแก่จำเลยได้
4. ความหมายของพยานหลักฐาน
1) ความสำคัญของพยานหลักฐาน
หากท่านเป็นพนักงานสอบสวน ซึ่งกำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ ได้รับการแจ้งจากสายตรวจทางวิทยุว่า พบศพชายไม่ทราบชื่อนอนตายอยู่ริมถนน บริเวณที่เกิดเหตุใกล้แยกวังเหนือ ในฐานะพนักงานสอบสวนท่านทราบข้อเท็จจริงอะไรบ้าง
หากท่านเป็นพนักงานสอบสวน ซึ่งกำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ ได้รับจากการสายตรวจทางวิทยุว่า มีการฆ่ากันตาย ในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ผู้ตายชื่อนายแดง ส่วนคนที่ฆ่ายังไม่ทราบเพราะได้หลบหนีไป ต่อมาตำรวจจับนายดำได้พร้อมมีดของกลางได้ เชื่อว่าเป็นคนที่ลงมือฆ่านายแดง นายดำปฏิเสธ ในฐานะพนักงานสอบสวนท่านทราบข้อเท็จจริงอะไรบ้าง
เราไม่มีทางจะทราบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในคดีอาญาได้ ไม่เหมือนกับการทำข้อสอบกฎหมายอาญาที่โจทย์หรือคำถามจะมีข้อเท็จจริงที่ครบถ้วนมาให้ เราเพียงแต่นำข้อเท็จจริงในโจทย์นั้นมาวินิจฉัยกับหลักกฎหมายให้ถูกต้อง ผิดถูกก็ว่ากันไป แต่ในการดำเนินคดีอาญาจริง ๆ กว่าข้อเท็จจริงจะปรากฏชัดเจนจนสามารถวินิจฉัยได้นั้นต้องมีการพิสูจน์ข้อเท็จจริงว่ามีการกระทำอันเป็นความผิดหรือไม่ โดยสิ่งที่สามารถพิสูจน์ข้อเท็จจริงได้ คือ พยานหลักฐาน (Evidence) ดังนั้นหากจะพิสูจน์ข้อเท็จจริง (Fact) ต้องอาศัยพยานหลักฐานในการพิสูจน์ ส่วนข้อกฎหมายนั้นไม่ต้องอาศัยพยานหลักฐานในการพิสูจน์ เป็นเรื่องที่ศาลสามารถใช้ดุลพินิจในการตัดสินปัญหาข้อกฎหมายได้เลย
หากความจริงไม่ปรากฏ ความยุติธรรมก็ไม่อาจจะเกิดขึ้นได้ เพราะฉะนั้น บุคคลที่เกี่ยวข้องในกระบวนยุติธรรมทางอาญามีหน้าที่ต้องทำความจริงปรากฏ เพราะหากไม่สามารถค้นหาความจริงในคดีได้ ศาลก็ไม่อาจตัดสินได้ถูกต้อง เช่น อาจไม่สามารถลงโทษจำเลยได้ หรือลงโทษจำเลยที่ไม่ได้ทำผิด
2) พยานหลักฐานพิสูจน์อะไร
อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วหากเป็นปัญหาข้อกฎหมายนั้นไม่ต้องอาศัยพยานหลักฐานในการพิสูจน์ เพราะเป็นปัญหาที่ต้องนำตัวบทกฎหมายมาใช้ในการวินิจฉัยโดยมีข้อเท็จจริงที่ได้ฟังเป็นยุติแล้วเป็นฐาน เช่น ปัญหาเกี่ยวกับอำนาจฟ้อง ปัญหาเกี่ยวกับอายุความ ปัญหาว่าดำเนินกระบวนพิจารณาผิดกฎหมาย เป็นต้น แต่หากเป็นปัญหาข้อเท็จจริง (Fact) ต้องใช้พยานหลักฐานพิสูจน์ เช่น เกิดเหตุนายแดงเอามีดฟันนายดำจนนายดำทนพิษบาดแผลไม่ไหวจนถึงแก่ความตาย ในคดีนี้มีอะไรบ้างที่จะนำมาพิสูจน์ให้เห็นได้ว่านายแดงมีความผิด สิ่งที่นำมาพิสูจน์ให้เห็นว่านายแดงมีความผิดหรือบริสุทธิ์ก็คือ พยานหลักฐานนั้นเอง เช่นตัวอย่างดังต่อไปนี้
นายหนึ่งถูกนายสองยักยอกทรัพย์ไป แต่ได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์หลังจากเกิดเหตุไปแล้ว 4 เดือน ปัญหาว่าคดีขาดอายุความ(ความผิดต่อส่วนตัว) หรือยังนั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมาย ส่วนปัญหาว่ามีการยักยอกทรัพย์กันจริงหรือไม่เป็นปัญหาข้อเท็จจริง
ในคดีนี้ปัญหาข้อเท็จจริงเท่านั้นที่จะต้องมีการสืบพยาน เอาพยานหลักฐานมาสืบว่ามีการยักยอกทรัพย์กันจริงหรือไม่จริง ส่วนปัญหาว่าคดีขาดอายุความหรือไม่ เมื่อเป็นปัญหาข้อกฎหมายศาลสามารถวินิจฉัยได้โดยไม่ต้องสืบพยาน
3) ความหมายของพยานหลักฐาน
พยานหลักฐาน (Evidence) มีหลายความหมาย พิจารณาความหมายของพยานดังต่อไปนี้
พยานหลักฐาน หมายถึง สิ่งที่สามารถให้ข้อเท็จจริงแก่ศาล ซึ่งตามความหมายนี้พยานหลักฐานย่อมหมายถึงข้อเท็จจริงทุก ๆ อย่างที่อาจพิสูจน์ข้อเท็จจริงต่อศาลได้
พยานหลักฐาน หมายถึง พยานหลักฐานที่คู่ความนำสืบ ซึ่งตามความหมายนี้หมายถึง เฉพาะพยานหลักฐานที่คู่ความนำเข้าสืบเพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงในประเด็นแห่งคดีต่อศาลเท่านั้น ดังนั้นหากพยานหลักฐานใดที่อาจพิสูจน์ข้อเท็จจริงได้ แต่คู่ความไม่ได้นำสืบต่อศาล พยานหลักฐานนั้นก็ไม่อาจพิสูจน์ข้อเท็จจริงในคดีได้
พยานหลักฐาน หมายถึง พยานหลักฐานที่ศาลยอมรับ ความหมายนี้พยานหลักฐานหมายถึงแต่เฉพาะพยานหลักฐานที่ศาลยอมรับหรือยอมให้นำสืบได้เท่านั้น ดังนั้นพยานหลักฐานใดที่คู่ความนำสืบเข้ามาในคดี แต่ศาลไม่ยอมรับก็ไม่ถือเป็นพยานหลักฐานในคดี เป็นพยานหลักฐานที่ศาลตัดออกหรือไม่รับฟัง ก็ไม่ข้อเท็จจริงที่เกิดจากการพิสูจน์พยานหลักฐานนั้น เช่น คำให้การในชั้นสอบสวนที่จำเลยรับสารภาพ แต่เจ้าพนักงานสอบสวนไม่ได้ดำเนินการแจ้งสิทธิต่าง ๆ ก่อนมีการสอบสวน ศาลจึงไม่อาจรับฟังคำให้การในชั้นสอบสวนนั้นได้ ต้องตัดออกไป
ดังนั้นแม้จะเป็นพยานหลักฐานโดยทั่วไปที่สามารถยืนยันข้อเท็จจริงได้ แต่อาจเป็นพยานที่ไม่เกี่ยวข้องกับประเด็นแห่งคดี หรือเป็นพยานที่เกี่ยวข้องกับประเด็นแห่งคดีแต่เป็นพยานหลักฐานที่ศาลไม่ยอมรับ
4) ประเภทของพยานหลักฐาน
การแบ่งประเภทของพยานหลักฐานนั้นสามารถแบ่งได้เป็นหลายประเภท ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของการแบ่งว่าจะแบ่งเพื่อวัตถุประสงค์ใด ซึ่งโดยทั่วไปสามารถแบ่งประเภทของพยานหลักฐานได้ดังต่อไปนี้
1) พยานบุคคล พยานเอกสาร พยานวัตถุ
2) พยานโดยตรง พยานแวดล้อมกรณี
3) ประจักษ์พยาน พยานบอกเล่า
4) พยานชั้น 1 พยานชั้น 2
1) พยานบุคคล พยานเอกสาร พยานวัตถุ
พยานบุคคล (Witness) คือบุคคลที่มาเบิกความให้ข้อเท็จจริงในคดีต่อศาล โดยการเล่าเรื่อง หรือตอบคำถามของศาลหรือคู่ความที่เกี่ยวข้อง คำเบิกความหรือถ้อยคำเท่านั้นที่ถือเป็นพยาน ไม่ใช่ตัวพยาน เรียกพยานบุคคลได้อีกอย่างว่า “พยานถ้อยคำ (Oral Evidence) และในคดีอาญา พยานบุคคลถือเป็นพยานที่สำคัญที่สุด การสืบพยานบุคคลนั้นในทางอาญาแล้วมีความยุ่งยากมากมายหลายประการ และมีรายละเอียดค่อนข้างมา เพราะการสืบพยานบุคคลจะต้องให้พยานคนนั้นเบิกความออกมา โดยการเล่าเรื่องหรือตอบคำถามของศาลหรือทนายความ การเบิกความนั้นก็ต้องเบิกความโดยพยานสมัครใจ จะไปบังคับ ขู่เข็ญให้เขาเบิกความย่อมทำไม่ได้ อีกทั้ง ในปัจจุบันมีหลักเกณฑ์ เกี่ยวกับการสืบพยานเด็กซึ่งต้องสืบโดยวิธีการพิเศษแตกต่างจากการสืบพยานผู้ใหญ่อีกด้วย
พยานเอกสาร (documentary evidence) สิ่งซึ่งมีการบันทึกตัวอักษร ตัวเลข หรือเครื่องหมายไว้ สิ่งนั้นจะเป็นอะไรก็ได้ จะบันทึกด้วยวิธีใด ๆ ก็ได้ สิ่งที่พยานเอกสารพิสูจน์ คือ ข้อความที่เอกสารแสดงออก ไม่ใช่ตัววัตถุเอกสาร พยานเอกสารนั้นเป็นพยานสำคัญในคดีแพ่ง พยานเอกสารนั้นหากแยกประเภทของเอกสารก็มีอยู่ด้วยกันหลายประเภท เช่น เอกสารทำธรรมดา เอกสารสิทธิ เอกสารราชการ และเอกสารมหาชน เมื่อเอกสารมีหลายประเภทการนำสืบพยานเอกสารก็ย่อมมีความแตกต่างกัน ตามประเภทของเอกสานั้น ๆ
พยานวัตถุ (physical evidence, real evidence หรือ material evidence) ได้แก่ วัตถุหรือสิ่งอื่นใดที่อาจจะพิสูจน์ความจริงต่อศาลได้โดยการตรวจดู มิใช่โดยการอ่านหรือพิจารณาข้อความที่บันทึกไว้ เช่น มีด ปืน ยาเสพติดของกลาง บาดแผลของผู้เสียหาย ศพของผู้เสียชีวิต พยานวัตถุอาจเป็นพยานที่เป็นสังหาริมทรัพย์กับอสังหาริมทรัพย์ วัตถุใดที่สามารถนำมาศาลเพื่อให้ตรวจดูได้ก็นำมา ส่วนวัตถุไหนนำมาไม่ได้ศาลอ่านจะต้องออกไปตรวจดู
การแบ่งประเภทของพยานเป็นพยานบุคคล พยานเอกสาร และพยานวัตถุนั้น แบ่งตามลักษณะของพยาน ส่วนคุณค่าหรือนำหนักของพยานก็แล้วแต่คดี เช่น ในคดีแพ่งที่มีการก่อนิติสัมพันธ์กันของคู่สัญญา เอกสารที่ทำกันขึ้นมา เช่น สัญญาเช่า สัญญาซื้อขาย ย่อมมีความน่าเชื่อถือกว่าคำพูดของพยาน ดังนั้น พยานเอกสารจึงมีน้ำหนักมากกว่าพยานบุคคล
2) พยานโดยตรง พยานแวดล้อมกรณี
พยานโดยตรง (Direct Evidence) เป็นพยานหลักฐานที่แสดงให้เห็นข้อเท็จจริงที่จะพิสูจน์ได้โดยตรง เช่น บุคคลที่เห็นเหตุการณ์ยิงกันตาย ศาลสามารถรับฟังข้อเท็จจริงจากคำเบิกความพยานได้โดยที่ไม่ต้องหาเหตุผลอื่นมาเพื่ออนุมานว่ามีข้อเท็จจริงบางอย่างที่ความกล่าวอ้างหรือไม่อีก
พยานแวดล้อมกรณี (Circumstantial Evidence) เป็นพยานที่ไม่ได้แสดงถึงข้อเท็จจริงที่พิสูจน์โดยตรง แต่อาจทำให้ศาลอนุมานได้ว่าข้อเท็จจริงที่คู่ความประสงค์จะพิสูจน์มีอยู่จริงหรือไม่มี เช่น คำเบิกความของพยานว่าเห็นจำเลยถือมีดเปื้อนเลือดวิ่งออกมาจากในบ้าน เช่น เห็นจำเลยขับรถเข้าในซอยบ้านผู้ตายอย่างมีพิรุธ หรือรอยเบรกรถบนถนนเป็นทางยาวแสดงให้เห็นได้ว่าจำเลยอาจขับรถมาด้วยความเร็วเพราะใช้ระยะเวลาในการเบรกยาว
3) ประจักษ์พยาน พยานบอกเล่า
ประจักษ์พยาน (Eye Witness) เป็นพยานที่มาเบิกความให้ข้อเท็จจริงแก่ศาลตามที่ตนได้รับรู้มาจากประสาทของตน มิใช่รู้มาจากการบอกเล่าของผู้อื่น เช่น คนที่เห็นจำเลยเอาปืนยิง คนที่เอามีดแทง คนที่เห็นโจทก์และจำเลยทำสัญญากัน
พยานบอกเล่า คือ พยานที่ไม่ได้เห็นเหตุการณ์หรือไม่ได้รับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นด้วยตนเอง แต่เป็นพยานที่รับฟังมาจากผู้อื่น แล้วเอาความที่ได้รับฟังมาเล่าหรือมาเบิกความต่อศาลอีกที พยานบอกเล่านี้ไม่อาจถูกถูกซักค้านได้เพราะไม่ได้เห็นหรือรับรู้เหตุการณ์มาด้วยตนเอง เป็นไม่น่าเชื่อถือ (unreliable)
พิจารณาตัวอย่าง นายแดงเห็นนายเอเอามีดแทงนายบี แล้ววิ่งหนีออกไปทางหลังบ้าน นายดำเห็นนายเอถือมีดที่เปื้อนเลือดวิ่งออกมาจากบ้านอย่างมีพิรุธ สงสัยว่านายเอจะเป็นคนฆ่านายบี จึงเอาเรื่องดังกล่าวไปเล่าให้นายขาวฟัง
แดง คือ ประจักษ์พยาน
ดำ คือ พยานแวดล้อมกรณี
ขาว คือ พยานบอกเล่า
4) พยานชั้น 1 พยานชั้น 2
พยานชั้น 1 พยานชั้น 2 ไม่มีในกฎหมายไทย แต่นำมาจากหลักกฎหมายของประเทศอังกฤษ ตามหลักที่ว่า ต้องนำพยานหลักฐานที่ดีที่สุดมาสืบในศาล (The best Evidence) เช่น การนำสืบพยานเอกสารต้องนำต้นฉบับเอกสารมาสืบเท่านั้น
No comments:
Post a Comment