1) การกระทำ
2) การกระทำครบองค์ประกอบความผิด
3) ผลของการกระทำมีความสัมพันธ์กับการกระทำ (causation)
เมื่อได้พิจารณาผ่านทั้ง 3 ส่วนนี้แล้วถือว่า ผ่านโครงสร้างความรับผิดทางอาญาโครงสร้างที่ 1 ซึ่งจะพิจารณาในโครงสร้างที่ 2 ต่อไป การพิจารณาในส่วนที่ 3 ต้องผ่านครบองค์ประกอบความผิดทั้งภายนอกและภายในแล้ว จึงจะมาพิจารณาว่าผลกับการกระทำสัมพันธ์กันหรือไม่
1. ความสำคัญของหลักความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำและผล
บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาได้ต่อเมื่อเขาได้กระทำอันเป็นความผิดกฎหมาย หากเขาไม่ได้กระทำหรือไม่ได้เป็นผู้ที่ก่อให้เกิดความเสียหายขึ้น เขาก็ไม่ต้องรับผิดในผลที่เกิดขึ้นนั้น ดังนั้นผลที่เกิดขึ้นต้องมีความสัมพันธ์กับการกระทำของผู้กระทำด้วย เช่น นายแดงใช้ปืนยิงนายดำ นายดำได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตในอีก 2 วันต่อมา แม้นายดำจะไม่ได้ตายทันที แต่ความตายก็เป็นผลมากการกระทำของนายแดง ดังนั้นผลและการกระทำจึงมีความสัมพันธ์กัน นายแดงก็ต้องรับผิดในความตายของนายดำ ซึ่งหลักในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำและผล ตำรากฎหมายที่เขียนเป็นภาษาอังกฤษใช้คำว่า “causation”
แต่ถ้าเป็นกรณีที่ผลที่เกิดขึ้นไม่มีความสัมพันธ์กับการกระทำ ผู้ที่กระทำก็ไม่ต้องรับผิดในผลที่เกิดขึ้น เช่น นายแดงวิ่งเอาไม้ไล่ตีนายดำ นายดำวิ่งหนี ขณะนั้นเป็นเวลาฝนตกทำให้ฟ้าผ่าถูกนายดำถึงแก่ความตาย กรณีอย่างนี้มีปัญหาให้พิจารณาว่าความตายของนายดำเกิดขึ้นจากการกระทำของนายแดงหรือไม่ หากพิจารณาได้ว่าความตายไม่ได้เกิดขึ้นเพราะการกระทำของนายแดง แต่เป็นเกิดขึ้นเพราะเหตุสุดวิสัยฟ้าผ่า นายแดงก็ไม่ต้องรับผิดในผลแห่งความตายของนายดำ
ความผิดที่ต้องนำเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำและผลมาพิจารณานั้นต้องเป็นความผิดที่ต้องการผล หมายความว่า การพิจารณาความรับผิดของผู้กระทำนั้นพิจารณาจากผลของการกระทำด้วย เช่น การใช้ปืนยิงโดยมีเจตนาฆ่า หากเป็นเหตุให้ผู้ถูกยิงถึงแก่ความตายผู้กระทำก็มีความผิดฐานฆ่าคนตายโดยเจตนา แต่หากไม่ถึงตายก็มีความผิดเพียงแค่พยายามฆ่าเท่านั้น แสดงว่าความผิดดังกล่าวเป็นความผิดที่ต้องการผล ส่วนความผิดที่ไม่ต้องการผล หมายถึง ความผิดที่เพียงกระทำหรือละเว้นก็เป็นความผิดแล้ว ส่วนผลจะเกิดหรือไม่ไม่ใช่ข้อสาระสำคัญในการลงโทษ เช่น ความผิดฐานเบิกความเท็จ ตาม ม.177 เมื่อเบิกความเท็จแล้วก็มีความผิดทันที, ความผิดฐานไม่ช่วยเหลือผู้ที่ตกอยู่ในภยันตราย เมื่อไม่ช่วยแล้วก็มีความผิดทันที ผู้นั้นจะตายหรือไม่ ไม่ใช่ข้อสาระสำคัญ
ตัวอย่างที่ 1 นายแดงใช้ไม้ตีหัวดำ จนนายดำหัวแตก นายแดงจะต้องรับผิดในผลของการกระทำที่เกิดขึ้นหรือไม่ และถ้าหากข้อเท็จจริงเปลี่ยนไปนายดำไม่ได้แค่หัวแตกแต่เลือดคลั่งในสมองทำให้ได้รับบาดเจ็บสาหัส หรือต่อมานายดำได้เสียชีวิตลง นายแดงจะต้องรับผิดในผลที่เกิดขึ้นนั้นหรือไม่
ตัวอย่างที่ 2 หากข้อเท็จจริงตามตัวอย่างที่ 1 เปลี่ยนไปว่าหลังจากที่นายดำถูกเอาไม้ตีจนหัวแตกแล้วไปไปให้หมอรักษา แต่เพราะเครื่องมือของหมอไม่สะอาดทำให้ติดเชื้อในกระแสเลือดนายดำจึงถึงแก่ความตาย นายแดงยังต้องรับผิดในผลแห่งความตายอีกหรือไม่
ตามตัวอย่างที่ 1 และ 2 มีปัญหาที่จะต้องนำหลักในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำและผลมาใช้ในการพิจารณาว่าผู้กระทำมีความรับผิดในผลที่ได้เกิดขึ้นหรือไม่ โดยจะใช้ทฤษฎีทางกฎหมายอาญามาพิจารณา 2 ทฤษฎี คือ ทฤษฎีเงื่อนไข (Condition Theory) และทฤษฎีมูลเหตุที่เหมาะสม (Theory of Adequate Cause)
2. ทฤษฎีที่ใช้พิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำและผล
1) ทฤษฎีเงื่อนไข (Condition Theory) คือ หลักการที่นำมาพิจารณาว่าผู้กระทำจะต้องรับผิดในผลนั้นหรือไม่ โดยการตั้งคำถามว่า “ถ้าไม่มีการกระทำอันนั้นแล้ว ผลจะไม่เกิด ถือว่าผลเกิดจากการกระทำอันนั้น แม้ว่าผลจะเกิดจากการกระทำอันอื่นๆด้วยก็ตาม ในทางตรงกันข้ามหากไม่มีการกระทำอันหนึ่งแล้ว ผลก็ยังเกิดขึ้นอยู่นั่นเอง ก็ถือว่าผลเกิดจากการกระทำอันใดอันหนึ่งนั้นไม่ได้”
ทฤษฎีเงื่อนไข จะนำมาใช้เพื่อพิจารณาว่าผลที่เกิดขึ้นมีความสัมพันธ์กับการกระทำหรือไม่ หากผลนั้นเกิดขึ้นจากการกระทำนั้นผู้กระทำต้องรับผิดในผลที่เกิดขึ้น เช่น นายหนึ่งวิ่งเอามีดไล่ฟันนายสอง นายสองวิ่งหนีด้วยความกลัวจึงกระโดดลงไปในน้ำ จนจมน้ำตาย นายหนึ่งต้องรับผิดในผลแห่งความตายหรือไม่ต้องพิจารณาว่า หากนายหนึ่งไม่วิ่งไลฟันนายสอง นายสองจะจมน้ำตายหรือไม่ หากปรากฏว่าหากนายหนึ่งไม่วิ่งไล่นายสอง นายสองคงไม่จมน้ำตาย แสดงว่านายสองตายเพราะการกระทำของนายหนึ่ง ดังนั้นการตายของนายสองจึงเป็นผลโดยตรงตาม “ทฤษฎีเงื่อนไข” นายหนึ่งจึงต้องรับผิดในผลแห่งความตายของนายสอง
2) ทฤษฎีมูลเหตุที่เหมาะสม (Theory of Adequate Cause) คือทฤษฎีผลธรรมดา หากผลนั้นทำให้ผู้กระทำต้องรับโทษหนักขึ้น ผู้กระทำต้องรับผิดในผลนั้น ก็ต่อมเมื่อผลนั้นเป็นผลธรรมดาที่ยอมเกิดขึ้นได้ และหากผลนั้นมิได้ทำให้ผู้กระทำต้องรับโทษหนักขึ้น แต่เป็นผลที่เกิดจาก “เหตุแทรกแซง” ผู้กระทำต้องรับผิดในผลนั้นก็ต่อเมื่อผลที่เกิดจากเหตุแทกแซงนั้น เป็นผลที่วิญญูชนคาดหมายได้
ทฤษฎีมูลเหตุที่เหมาะสม คือ ทฤษฎีที่นำมาวินิจฉัยว่า ผลที่เกิดขึ้นนั้นเป็นผลมาจากการกระทำนั้นหรือไม่ หรือมาจากเหตุใดมากกว่ากัน เหตุใดมีความเหมาะสมที่ทำให้เกิดผลนั้นขึ้น ซึ่งแยกพิจารณาเป็น 2 กรณี คือ
ผลธรรมดา หากผลที่เกิดขึ้นจากการกระนั้นเป็นผลธรรมดาที่ย่อมเกิดขึ้นได้จากการกระทำนั้น ผู้กระทำต้องรับผิดในผลนั้นด้วย ทฤษฎีผลธรรมดาอยู่ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 63 “ถ้าผลของการกระทำความผิดใดทำให้ผู้กระทำต้องรับโทษหนักขึ้น ผลของการกระทำความผิดนั้นต้องเป็นผลที่ตามธรรมดาย่อมเกิดขึ้นได้” หากผลที่เกิดขึ้นนั้นไม่ใช่ผลธรรมที่ย่อมเกิดขึ้นได้ ผู้กระทำก็ไม่ต้องรับผิดในผลนั้น ยกตัวอย่างเช่น นายแดงใช้ไม้ตีศีรษะของนายดำ นายดำถูกตีหัวแตกและเลือดครั้งในสมองทำให้ถึงแก่ความตายในเวลาต่อมา ปัญหาที่ต้องพิจารณาก็คือ ความตายของนายดำนั้นนายแดงต้องรับผิดหรือไม่ ซึ่งจะเห็นได้ว่า นายแดงมีเจตนาเพียงทำร้ายร่างกายเท่านั้นไม่ได้มีเจตนาทำให้ถึงตาย ดังนั้นนายแดงจะต้องรับผิดในผลนั้นหรือไม่ ต้องพิจารณาตามหลักผลธรรมดา ในมาตรา 63 นั่นเอง
เหตุแทรกแซง คือเหตุที่เกิดขึ้นหลายเหตุและทำให้เกิดผลขึ้น ซึ่งเราจะต้องพิจารณาว่า ในแต่ละเหตุที่เกิดขึ้นนั้นเหตุใดทำให้เกิดผลได้มากกว่ากัน โดยพิจารณาว่า การกระทำที่เกิดขึ้นภายหลังตัดความสัมพันธ์ของการกระทำที่เกิดขึ้นก่อน ๆ หรือไม่ เช่น นายแดงใช้ไม้ตีศีรษะของนายดำ นายดำถูกตีหัวแตกและเลือดครั้งในสมองต้องทำการผ่าตัด แต่แพทย์และพยาบาลที่ผ่าตัดนั้นได้กระทำโดยประมาททำให้นายดำถึงแก่ความตายในเวลาต่อมา ปัญหาที่เราต้องพิจารณาในกรณีนี้คือ ใครต้องรับผิดในผลแห่งความตายของนายดำ ระหว่างนายนายแดง หรือแพทย์และพยาบาล ซึ่งต้องพิจารณาตามหลักเหตุแทรกแซงว่า เหตุที่เกิดขึ้นภายหลังตัดความสัมพันธ์ของเหตุที่เกิดขึ้นก่อนหรือไม่ ดังนั้นหากการกระทำของนายแพทย์และพยาบาลเป็นเหตุที่ทำให้นายดำตายมากกว่าการกระทำของนายแดง นายแดงก็ไม่ต้องรับผิดในผลแห่งความตาย เป็นต้น
3. แนวคำวินิจฉัยของศาลเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำและผล
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7262/2554 ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ร่วมทั้งสองเข้าร่วมเป็นโจทก์โดยถือเอาคำฟ้องของโจทก์เป็นคำฟ้องของโจทก์ร่วมทั้งสองด้วย ซึ่งตามคำฟ้องดังกล่าวระบุว่า จำเลยใช้อาวุธปืนยิงโจทก์ร่วมที่ 2 เป็นเหตุให้โจทก์ร่วมที่ 2 ได้รับอันตรายสาหัส ต้องทุพพลภาพและเจ็บป่วยด้วยอาการทุกขเวทนาและจนประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่ายี่สิบวัน ดังนั้น ที่โจทก์ร่วมทั้งสองฎีกาว่า โจทก์ร่วมที่ 2 ได้ถึงแก่ความตายภายหลังโจทก์ร่วมทั้งสองยื่นอุทธรณ์แล้ว การตายของโจทก์ร่วมที่ 2 เป็นความสัมพันธ์และเป็นผลธรรมดาที่เกิดจากการกระทำของจำเลยย่อมเกิดขึ้นได้ตาม ป.อ. มาตรา 63 อันมีผลทำให้จำเลยต้องได้รับโทษหนักขึ้นนั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1867/2553 จำเลยใช้อาวุธมีดปลายแหลมจี้ขู่ผู้เสียหายและเอาโทรศัพท์เคลื่อนที่ของผู้เสียหายและรถยนต์ของบิดาของผู้เสียหายที่อยู่ในความครอบครองของผู้เสียหายไปและเมื่อการกระทำของจำเลยเป็นเหตุให้ผู้เสียหายรับอันตรายแก่กายเป็นผลให้จำเลยก็ต้องรับโทษหนักขึ้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1867/2553 จำเลยใช้อาวุธมีดปลายแหลมจี้ขู่ผู้เสียหายและเอาโทรศัพท์เคลื่อนที่ของผู้เสียหายและรถยนต์ของบิดาของผู้เสียหายไป เมื่อการกระทำของจำเลยเป็นเหตุให้ผู้เสียหายรับอันตรายแก่กายจำเลยก็ต้องรับโทษหนักขึ้น แม้ผู้เสียหายได้รับบาดแผลที่ต้นแขนซ้ายจากมีดของจำเลยเนื่องจากอุบัติเหตุ จำเลยไม่มีเจตนาทำร้ายผู้เสียหาย ก็ไม่ใช่ข้อสำคัญ เพราะการที่จำเลยจะรับโทษหนักขึ้นด้วยเหตุที่ผู้เสียหายรับอันตรายแก่กายนั้น จำเลยไม่จำต้องกระทำโดยมีเจตนา เพียงแต่พิจารณาว่าผลที่ผู้เสียหายรับอันตรายแก่กายนั้น เป็นผลที่ตามธรรมดาย่อมเกิดขึ้นได้ตาม ป.อ. มาตรา 63 หรือไม่ เมื่อจำเลยใช้มีดปลายแหลมจี้ผู้เสียหายการที่ผู้เสียหายรับอันตรายแก่กายจากมีดนั้นจึงย่อมเป็นผลธรรมดาที่จะเกิดขึ้นจากการกระทำของจำเลยแล้ว จำเลยจึงมีความผิดฐานชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้เสียหายรับอันตรายแก่กายตามมาตรา 339 วรรคสาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4904/2548 ผู้ตายและผู้เสียหายทั้งสามถูกกักขังและถูกทำร้ายร่างกายในลักษณะการทรมานอยู่ในห้องพัเกิดเหตุเป็นระยะเวลาประมาณ 3 เดือน โดยไม่มีหนทางหลบเลี่ยงให้พ้นจากการถูกทรมานหรือขอความช่วยเหลือจากผู้ใดได้เห็นได้ว่าผู้เสียหายทั้งสามและผู้ตายต้องตกอยู่ในสภาพถูกบีบคั้นทารุณทั้งทางร่างกายและจิตใจอย่างรุนแรงติดต่อกันเป็นเวลานาน การที่ผู้ตายตัดสินใจกระโดดจากห้องพักเพื่อฆ่าตัวตายนั้นอาจเป็นเพราะผู้ตายมีสภาพจิตใจที่เปราะบางกว่าผู้เสียหายอื่น และไม่อาจทนทุกข์ทรมานได้เท่ากับผู้เสียหายอื่นจึงได้ตัดสินใจกระทำเช่นนั้นเพื่อให้พ้นจากการต้องทนทุกข์ทรมาน พฤติการณ์ฟังได้ว่าการตายของผู้ตายมีสาเหตุโดยตรงมาจากการถูกทรมานโดยทารุณโหดร้าย
![]() |
|
![]() |
|
No comments:
Post a Comment