กฎหมายกับการแก้ไขปัญหายาเสพติด (ตอนที่ 1)
ยาเสพติดเป็นปัญหาที่ เป็นภัยคุกคาม กัดกร่อน
บ่อนทำลาย ประเทศไทยส่งผลกระทบอย่างกว้างขวางทั้งต่อปัจเจกบุคคล
และสังคมส่วนรวมในมิติต่างๆ
ผลกระทบของยาเสพติดนั้นไม่ได้มีต่อตัวบุคคลผู้เสพยาเท่านั้น แต่ยังกระทบต่อครอบครัว
ชุมชนและสังคม รวมไปถึงกระทบการบริหารจัดการภาครัฐที่ต้องคอยปราบปราม
เปลืองทรัพยากรต่าง ๆ
เมื่อปัญหายาเสพติดไม่ได้กระทบต่อผู้เสพเท่านั้น
แต่กระทบต่อพวกเราด้วย จริงอยู่ที่เราไม่ได้เสพติดมัน
แต่ภัยจากยาเสพติดนั้นก็อาจจะส่งผลกระทบถึงเราในฐานะเป็นสมาชิกในสังคม
ดังนั้นในฐานะที่เรานักกฎหมายจึงต้องพยายามหาทางออก
และหาทางแก้ปัญหา
แม้วันนี้เราไม่ได้อยู่ในฐานะเป็นผู้ออกกฎหมายหรือเป็นผู้บังคับกฎหมาย
แต่ไม่ช้าไม่นาน เราคงต้องไปอยู่ในฐานะนั้น
จากคำถามที่ได้เคยถามไว้ว่า
"การแก้ปัญหายาเสพติดควรใช้มาตรการใด" จึงจะสามารถแก้ปัญหายาเสพติดได้
ผมลองเสนอทางแก้ไป 3 ข้อ คือ
1. เพิ่มโทษสำหรับผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด
2. เพิ่มประสิทธิภาพในการจับกุมและปราบปราม
3. ลดจำนวนผู้เสพโดยการบำบัดและรณรงค์
ซึ่งทุกวิธีที่เสนอไปนั้นเป็นวิธีที่ดีทั้งหมด
ควรปฏิบัติควบคู่กันไป แต่ทีนี้การสรุปแบบนี้มันเป็นมุมมองของนักกฎหมาย
เพียงมิติเดียว คิดว่ามันจะดี คิดว่ามันน่าจะได้ผล
ซึ่งบางครั้งการอธิบายนั้นเป็นไปในลักษณะของทฤษฎีที่จับต้องไม่ได้
ซึ่งอาจทำให้เข้าใจได้ยากและเป็นนามธรรม อุดมคติ
หากเรามองปัญหายาเสพติดที่เกิดขึ้น ตามหลักเศรษฐศาสตร์
การอธิบายตามหลักเศรษศาสตร์นั้นจะแตกต่างจากหลักของนิติศาสตร์อยู่บ้างแต่ก็มีเหตุและผล
สามารถอธิบายให้เห็นภาพ ตามหลักเศรษฐศาสตร์ได้
นิติเศรษฐศาสตร์ (Law and Economics) หรือเศรษฐศาสตร์วิเคราะห์ว่าด้วยกฎหมาย
(Economic Analysis of Law) เป็นศาสตร์ว่าด้วยการศึกษาประเด็นสำคัญทางกฎหมาย
ทฤษฎีกฎหมาย การตีความกฎหมาย การออกแบบกฎหมาย การประเมินคุณค่าของกฎหมาย
และผลกระทบของกฎหมายต่อพฤติกรรมของตัวละครที่เกี่ยวข้องและสังคม
โดยใช้ระเบียบวิธีหรือวิธีวิทยา (Methodology) ทางเศรษฐศาสตร์นีโอคลาสสิกเป็นกรอบและเครื่องมือมาตรฐานในการวิเคราะห์
กฎหมายในมุมมองของนิติเศรษฐศาสตร์คือเครื่องมือในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของคนในสังคมไปสู่แนวทางที่สังคมพึงปรารถนา
(เช่น ให้คนมีพฤติกรรมระมัดระวังเพื่อลดโอกาสในการเกิดอุบัติเหตุ
ออกแบบสัญญาที่ก่อให้เกิดประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจ) และป้องปรามยับยั้งพฤติกรรมที่ไม่พึงปรารถนาของสังคม
(เช่น การก่ออาชญากรรมด้านต่าง ๆ) ผ่านบทลงโทษทางกฎหมาย
ทั้งการลงโทษที่เป็นตัวเงิน ได้แก่ ค่าปรับ และการลงโทษที่ไม่เป็นตัวเงิน เช่น
การจำคุก การภาคทัณฑ์ การกักบริเวณ การประหารชีวิต
โดยที่คำถามของนิติเศรษฐศาสตร์พยายามหาคำตอบให้ได้
คือ
(1) เหตุผลเบื้องหลังของกฎหมาย นิติเศรษฐศาสตร์
พยายามหาคำตอบว่า กฎหมายฉบับนั้นมีความจำเป็นอย่างไร
(2)
ผลกระทบของกฎหมายต่อพฤติกรรมของตัวละครที่เกี่ยวข้อง และต่อสังคม
พยายามอธิบายและคาดการณ์ผลกระทบของกฎหมายว่ามีผลถึงการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหรือไม่
เช่น การเพิ่มบทลงโทษทางอาญานั้นมีผลต่อการยับยั้งอาชกรรมหรือไม่
โดยใช้วิธีการจัดเก็บข้อมูลทางสถิติ และทดสอบข้อมูลเชิงประจักษ์
โดยวิธีการทางสถิติหรือเศรษฐมิติ (Econometric)
โดยมองว่าผู้กระทำผิดแต่ละคนตัดสินใจกระทำความผิดหรือไม่
จะคำนึงถึงประโยชน์ที่ได้รับเป็นเครื่องตัดสินใจ เช่น
ผู้ที่ค้ายาเสพติดเพราะเห็นว่าค้ายาเสพติดได้รับเงินจากการค้ายาเสพติดมากกว่าโอกาสในการถูกจับได้
จึงเลือกที่จะค้ายาเสพติด
(3) การออกแบบกฎหมายที่พึงปรารถนา
เป็นการพยายามออกแบบกฎหมายเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ต้องการได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เช่น การปรับพฤติกรรมของผู้คนให้ดีขึ้น เช่น หากต้องการแก้ลดปัญหายาเสพติด
ต้องออกกฎหมายให้มีการเพิ่มโทษ และเพิ่มโอกาสในการจับกุม ซึ่งโทษของการค้ายาเสพติดและโอกาสในการจับกุมถือว่าเป็นต้นทุนในการกระทำความผิดของผู้ค้ายาเสพติด
หากต้นทุนสูง(โทษสูง+โอกาสถูกจับสูง) คนจะไม่เลือกค้ายาเสพติด เพราะไม่คุ้มทุน
กฎหมายและระบบกฎหมายที่พึงปรารถนาของนักเศรษฐศาสตร์
คือ กฎหมายและระบบกฎหมายที่มีประสิทธิภาพ กล่าวคือ
ใช้ทรัพยากรของสังคมอย่างคุ้มค่า
สามารถบรรลุความยุติธรรมตามมาตรฐานที่พึงปรารถนาโดยมีต้นทุนต่อสังคมต่ำที่สุด
หรืออย่างรวดเร็วที่สุด หรือพูดง่ายๆ กฎหมายที่ดีของนักเศรษศาสตร์ คือ ถูกแต่ดี
ดังนั้น
หลักของการแก้ปัญหายาเสพติดตามหลักของนิติเศรษฐศาสตร์
คือการทำให้ต้นทุนในการกระทำความผิดของผู้ค้ายาสูงขึ้น เมื่อต้นทุนสูง
ทำไปก็ไม่คุ้ม โดยคำนึงถึงประยชน์ได้เสียแล้ว คนจะไม่ค้ายาเสพติด
1. แก้โทษทางอาญาสำหรับการค้ายาเสพติดให้หนักขึ้น โดยเชื่อว่าโทษที่หนักขึ้นนั้นสามารถยับยั้งไม่ให้คนทำผิด เพราะเกรงกลัวต่อโทษตามกฎหมาย เช่น การเพิ่มโทษสำหรับผู้ค้ายาบ้าถึงขั้นประหารชีวิต
2. การเพิ่มโอกาสการถูกจับกุมดำเนินคดี โดยเชื่อว่าหากรัฐมีความสามารถในการจับกุมดำเนินคดีได้อย่างมีประสิทธิภาพ การค้ายาเสพติด ยาบ้าจะลดลง เพราะคงไม่มีใครอยากค้ายาเสพติดหากว่าเมื่อค้าแล้วจะถูกจับอย่างแน่นอน
การทำให้ต้นทุนในการค้ายาเสพติดสูงขั้นทั้ง 2 วิธีนั้น รัฐได้ดำเนินการแล้ว เช่น การเพิ่มโทษให้สูงถึงขั้นประหารชีวิต และการทำสงครามกับยาเสพติด แต่ผลที่ออกมากับสวนทางกับการดำเนินการ เรียกว่า จับกันจนจับไม่ไหว จับจนไม่มีคุกใส่ จับยังไงก็ไม่หมด และมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
คำถาม คือ ทั้ง ๆที่รัฐพยามเพิ่มต้นทุนทั้ง 2 วิธี ตามหลักเศรษฐศาสตร์แล้ว ปัญหายาเสพติดก็ยังไม่ลดลง ตรงนี้ผมเห็นว่า เราไม่สามารถปราบปรามการค้าเสพติดได้อย่างมีประสิทธิภาพ อาจจะถูกจับเป็นส่วนน้อย แต่ส่วนใหญ่ที่มีเส้นสาย มีอิทธิพล ไม่ถูกจับ นั่นแสดงว่า การปรามปราบล้มเหลว ยิ่งปราบ หาซื้อยาก ยายิ่งแพง ยิ่งแพงยิ่งจูงใจให้คนคิดจะค้า เพราะว่าค้าแล้วรวย
ดังนั้นเมื่อยิ่งจับยิ่งแพง ยิ่งจูงใจ จึงเกิดความคิดว่า เมื่อมันแพงเราก็ทำให้มันถูก ถูกจนคนที่คิดจะค้าไม่อยากทำ เหมือนกับขายของแล้วได้กำไรน้อย ขายยังไงก็ไม่รวย เลิกขายไปทำอย่างอื่น
ปัญหาคือทำยังไงให้มันถูก ของอะไรก็ตามที่มีผิดกฎหมายแล้วมีการลับลอบขาย มันจะแพง ดังนั้นจึงเกิดแนวความคิดในการแก้ไขปัญหายาเสพติดที่ว่า เราก็ทำให้มันถูกกฎหมาย หาซื้อได้ทั่วไป แต่ฤทธิ์ของมันก็ต้องควบคุมได้ ไม่ให้ถึงกับเป็นบ้าเป็นบอไป
หนามยอก เอาหนามบ่ง
.....................................................................
เฉลิมวุฒิ สาระกิจ
อจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา
No comments:
Post a Comment