การอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
1. ทำไมต้องห้ามไม่ให้มีการอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
คดีที่ขึ้นสู่การพิจารณาของศาลสูง(ศาลอุทธรณ์
และศาลฎีกา) ควรเป็นคดีที่มีความสำคัญซึ่งมีโทษตามกฎหมายค่อนข้างสูง ส่วนคดีเล็กๆ
น้อยๆ เมื่อได้มีการต่อสู้คดีกันในศาลชั้นต้น
จนศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาแล้วควรจะเสร็จสิ้น
หากปล่อยให้คดีอาญาขึ้นสู่การพิจารณาศาลสูงมากเกินไปทั้งคดีเล็กๆ น้อยๆ
จะกลายเป็นภาระของศาลสูงซึ่งมีน้อย
และหากปล่อยมีการต่อสู่กันในข้อเท็จจริงในคดีเล็กๆน้อยๆ ก็จะทำให้คดีต้องล่าช้า
อันอาจส่งผลกระทบทั้งต่อโจทก์และโดยเฉพาะจำเลยที่ต้องเสียเสรีภาพในระหว่างการดำเนินคดี
ดังนั้นกฎหมายจึงกำหนดให้คดีที่จะสามารถอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงได้จะต้องเป็นคดีที่มีโทษจำคุกอย่างสูงเกินกว่าสามปี
หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท (จะกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ
การห้ามไม่ให้มีการอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงเป็นการ screening
คดีที่จะขึ้นสู่ศาลสูงนั้นเอง)
2. หลักเกณฑ์ของการห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
มาตรา 193 ทวิ "ห้ามมิให้อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นในปัญหาข้อเท็จจริงในคดี
ซึ่งอัตราโทษอย่างสูงตามที่กฎหมายกำหนดไว้ให้ จำคุกไม่เกินสามปี
หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
เว้นแต่กรณีต่อไปนี้ให้จำเลยอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงได้
(1) จำเลยต้องคำพิพากษาให้ลงโทษจำคุกหรือให้ลงโทษกักขัง แทนโทษจำคุก
(2) จำเลยต้องคำพิพากษาให้ลงโทษจำคุก แต่ศาลรอการลง โทษไว้
(3) ศาลพิพากษาว่าจำเลยมีความผิด แต่รอการกำหนดโทษ ไว้ หรือ
(4) จำเลยต้องคำพิพากษาให้ลงโทษปรับเกินหนึ่งพันบาท"
โดยหลักแล้ว
ห้ามมิให้อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นในปัญหาข้อเท็จจริง หมายถึง การห้ามตามมาตรา
193 ทวิ ต้องเป็นการโต้แย้งเนื้อหาแห่งคำฟ้องหรือประเด็นแห่งคดี
หากเป็นการโต้แย้งดุลพินิจของศาลที่ไม่เกี่ยวกับประเด็นแห่งคดี ไม่ต้องห้ามอุทธรณ์
เช่น การอุทธรณ์โต้แย้งคำสั่งศาลที่ไม่รับฟ้อง,
อุทธรณ์คำสั่งศาลที่ให้งดสืบพยาน, กรณีร้องขอคืนของกลาง
ตาม ป.อ.มาตรา 36 ไม่อยู่ภายใต้มาตรานี้
เพราะไม่ได้เป็นการโต้แย้งเนื้อแห่งคำฟ้องหรือเกี่ยวกับประเด็นแแห่งคดี
ห้ามมิให้อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นในปัญหาข้อเท็จจริง
แล้วปัญหาข้อเท็จจริงคืออะไร
ปัญหาข้อเท็จจริงนั้นต้องเป็นปัญหาที่เกี่ยวข้องกับปัญหาเหล่านี้
1.
ปัญหาเกี่ยวกับการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลหรือดุลพินิจในการมีคาสั่งชี้ขาดในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
2.
ปัญหาใดที่ว่ามีพฤติการณ์หรือเหตุการณ์เกิดขึ้นหรือไม่
หรือจะตอบได้โดยไม่ต้องดูตัวบทกฎหมาย
3.
ปัญหาที่เกี่ยวกับการวินิจฉัยพฤติการณ์ที่เกิดขึ้นในคดี
4.
ปัญหาเกี่ยวกับการใช้ดุลพินิจ เช่น การลงโทษหนักเบา
โดยหลักแล้ว
ห้ามอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้น ในปัญหาข้อเท็จจริงดังกล่าวหาก(ดูโทษเป็นสำคัญ)
ในคดีที่มีอัตราโทษอย่างสูงจำคุกไม่เกิน
3 ปี ปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(หากคดีที่อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงโทษจำคุกอย่างสูงเกินกว่า 3
ปีขึ้นไปหรือปรับเกิน 60,000 บาทขึ้นไป
คู่ความย่อมอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงได้เสมอ )
ข้อยกเว้น
ถ้าหากคดีนั้นแม้จำคุกอย่างสูงไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 60,000
บาท(ต้องห้ามตามวรรค 1)
แต่ปรากฎว่าในคดีนั้น
(1)
จำเลยต้องคำพิพากษาให้ลงโทษจำคุกหรือให้ลงโทษกักขัง แทนโทษจำคุก
(2)
จำเลยต้องคำพิพากษาให้ลงโทษจำคุก แต่ศาลรอการลง โทษไว้
(3) ศาลพิพากษาว่าจำเลยมีความผิด
แต่รอการกำหนดโทษ ไว้ หรือ
(4)
จำเลยต้องคำพิพากษาให้ลงโทษปรับเกินหนึ่งพันบาท
ถ้าอย่างใดอย่างหนึ่งแม้โทษตามวรรค
1 ไม่เกิน 3 ปี จำเลยสามารถอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงได้
ตัวอย่างคำพิพากษาฎีกา
คำพิพากษาฎีกาที่ 494/2551
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า
จำเลยที่ 1 มิได้มีเจตนาเอารถยนต์ของโจทก์ไปโดยทุจริต จำเลยที่ 1
จึงไม่มีความผิดฐานลักทรัพย์ โจทก์อุทธรณ์ว่า พยานหลักฐานของโจทก์รับฟังได้ว่า
จำเลยที่ 1 มีเจตนากระทำความผิดฐานลักทรัพย์ เป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลชั้นต้น
อุทธรณ์ของโจทก์จึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
แม้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ตาม ป.อ. มาตรา 335
หากโจทก์นำสืบได้ความว่าจำเลยที่ 1 กระทำความผิด ศาลย่อมลงโทษจำเลยที่ 1 ตาม ป.อ.
มาตรา 334 ซึ่งมีอัตราโทษเบากว่าได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคหนึ่ง
ตามที่โจทก์ฎีกาก็ตาม
แต่บทบัญญัติดังกล่าวเป็นบทบัญญัติที่กำหนดเกี่ยวกับการพิพากษาของศาล
ซึ่งเป็นคนละกรณีกับสิทธิอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงของโจทก์
ซึ่งการอุทธรณ์ดังกล่าวต้องพิจารณาจากอัตราโทษที่บัญญัติไว้ในกฎหมายตามที่โจทก์ขอให้ลงโทษหรือที่กล่าวในคำฟ้อง
เมื่อโจทก์บรรยายฟ้องว่า เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2541 เวลากลางวัน จำเลยที่ 1
ลักรถยนต์ของโจทก์ไป และมีคำขอท้ายฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ตาม ป.อ. มาตรา 335
ก็ไม่เข้าองค์ประกอบความผิดตามบทบัญญัติดังกล่าว ไม่อาจลงโทษจำเลยที่ 1 ตาม ป.อ.
มาตรา 335 ได้ คงลงโทษจำเลยที่ 1 ตาม ป.อ. มาตรา 334
ซึ่งมีอัตราโทษที่กฎหมายกำหนดไว้ให้จำคุกไม่เกินสามปี
และปรับไม่เกินหกพันบาทเท่านั้น
จึงต้องห้ามมิให้โจทก์อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 193 ทวิ
จากคำพิพากษาฎีกาฉบับนี้วางหลักไว้ว่า
ประเด็นที่ 1
ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่
1 ความผิดฐานลักทรัพย์เหตุฉกรรจ์ ตาม ป.อ. มาตรา 335
หากโจทก์นำสืบได้ความว่าจำเลยที่ 1 กระทำความผิด ศาลย่อมลงโทษจำเลยที่ 1 ตาม ป.อ.
มาตรา 334 (ความผิดฐานลักทรัพย์) ซึ่งมีอัตราโทษเบากว่าได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192
วรรคหนึ่ง (ลองอ่านมาตรา 192 ดูนะครับว่าทำไมจึงลงโทษได้)
ประเด็นที่ 2
เมื่อศาลลงโทษตาม
ป.อ. มาตรา 334 ซึ่งมีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงไม่เกิน 3 ปี
โจทก์จึงต้องห้ามมิอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง (เวลาดูโทษที่อุทธรณ์ว่าเกินหรือไม่ให้ดูโทษที่โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษ ในคดีมีข้อสังเกตว่าโจทก์บรรยายฟ้องเป็น 334 แต่ขอให้ลงโทษตาม 335 ซึ่งเมื่อไม่บรรยายฟ้องศาลก็ไม่อาจลงโทษ เพราะถือว่าเกินคำขอ ดังนั้นคดีนี้จึงเป็นคดีที่โทษจำคุกไม่เกินสามปี)
แต่ถ้าจำเลยเป็นฝ่ายอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงหากคดีนั้นโทษจำคุกไม่เกิน3
ปี ซึ่งโดยหลักแล้วก็ต้องห้ามเช่นเดียวกัน แต่หากเป็นไปตาม(1)-(4)
จำเลยอุทธรณ์ได้ฝ่ายเดียว เช่น ศาลลงโทษว่าจำเลยลักทรัพย์ ตาม มาตรา 334
ลงโทษจุกคุกจำเลย 6 เดือน จะเห็นว่าโจทก์นั้นต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามวรรค
1 แต่จำเลยสามารถอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงได้ เพราะเข้ากรณีตาม (1) จำเลยต้องคำพิพากษาให้ลงโทษจำคุกหรือให้ลงโทษกักขัง
แทนโทษจำคุก
ข้อสังเกตุ
1.
แม้ศาลยกฟ้องในชั้นไต่สนมูลฟ้องเพราะผู้เสียหายไม่มีพยานมาสืบ
หากจะอุทธรณ์ต้องพิจารณาตาม มาตรานี้
2.
ในกรณีมีหลายข้อหา
- ในคดีที่โจทก์ฟ้องจำเลยหลายข้อหา
ให้พิจารณาว่าความผิดที่จำเลยกระทำหลายข้อห้านั้นเป็นเป็นการกระทำกรรมเดียวหรือหลายกรรม(ต่างกรรมต่างวาระ)
-
หากเป็นการกระทำหลายกรรมให้แยกพิจารณาเป็นกรรมๆไป
ว่าแต่ละข้อหาแต่ละกรรมนั้นต้องห้ามอุทธรณ์หรือไม่ (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 204/2522
การวินิจฉัยว่าอุทธรณ์ข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
มาตรา193 ทวิ หรือไม่ต้องพิจารณาความผิดแต่ละกระทง
แม้ความผิดในกระทงนั้นมีความผิดหลายบทรวมอยู่ด้วย ถ้าบทหนักไม่ต้องห้าม
ศาลก็ต้องถือว่าทุกบทไม่ต้องห้าม)
-
หากการกระทำนั้นเป็นความผิดกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท(เจตนาเดียว)
ให้พิจารณาเฉพาะอัตราโทษของบทหนักสุดว่าต้องห้ามอุทธรณ์หรือไม่
(คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 95/2521 การอุทธรณ์คดีอาญาในปัญหาข้อเท็จจริงนั้น
ศาลจะต้องพิจารณาอัตราโทษที่บัญญัติไว้ในกฎหมายสำหรับข้อหาแต่ละกระทงความผิดว่าต้องห้ามอุทธรณ์หรือไม่
ความผิดตามมาตรา 138
แห่งประมวลกฎหมายอาญาที่โจทก์ฟ้องเป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียวกับการกระทำในกระทงความผิดฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ซึ่งมีอัตราโทษในบทหนักตามมาตรา
289,80 ถึงจำคุกตลอดชีวิต ฉะนั้น จึงไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
มาตรา 193ทวิ)
*
- แต่ถ้าหากโจทก์ฟ้องจำเลยว่ากระทำความผิดฐานลักทรัพย์หรือรับของโจทก์
ฐานใดฐานหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4007/2535
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์สร้อยข้อมือและผ้าโสร่งไหม
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334
หรือขอให้ลงโทษจำเลยฐานรับของโจรผ้าโสร่งไหมตามมาตรา 357
มิได้ขอให้ลงโทษจำเลยฐานรับของโจรสร้อยข้อมือด้วย ดังนั้น
ความผิดฐานลักทรัพย์สร้อยข้อมือ
ซึ่งมีอัตราโทษอย่างสูงตามที่กฎหมายกำหนดไว้ให้จำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน
6,000 บาท
จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
มาตรา193 ทวิ
การที่ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยข้อเท็จจริงในความผิดฐานลักทรัพย์สร้อยข้อมือจึงเป็นการไม่ชอบ
ส่วนที่ขอให้ลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์ตาม มาตรา 334 หรือรับของโจรตามมาตรา 357 เฉพาะเรื่องผ้าโสร่งไหมนั้นก็เป็นการกระทำคนละกรรมความผิดกัน
ความผิดตามมาตรา 334
ในส่วนนี้จึงต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามที่กล่าวข้างต้นเช่นกัน
ฉะนั้นในส่วนที่เกี่ยวกับผ้าโสร่งไหมโจทก์และโจทก์ร่วมคงอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงได้เฉพาะในความผิดฐานรับของโจรตามมาตรา
357 เท่านั้น ในคำฟ้องอุทธรณ์ของโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสองฉบับ
คงอุทธรณ์แต่เฉพาะในข้อเท็จจริงที่ว่าพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมาฟังได้ว่าผ้าโสร่งไหมเป็นของโจทก์ร่วมเท่านั้น
ไม่มีคำฟ้องอุทธรณ์ส่วนใดที่ได้แสดงให้เห็นว่าพยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วมที่นำสืบมาจะมีข้อเท็จจริงที่แสดงให้เห็นว่าจำเลยได้กระทำผิดฐานรับของโจรอันเป็นความผิดที่โจทก์และโจทก์ร่วมอุทธรณ์ได้
คำฟ้องอุทธรณ์ของโจทก์และโจทก์ร่วมจึงมิได้ระบุข้อเท็จจริงโดยย่อพอที่จะอ้างอิงให้เห็นได้ว่าจำเลยกระทำผิดตามที่ขอให้ลงโทษมาในคำขอท้ายอุทธรณ์เป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
มาตรา 193ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยให้จึงเป็นการไม่ชอบ
คำพิพากษาฎีกาที่ 6698/2554
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม
ป.อ. มาตรา 300 พ.ร.บ.จราจรทางบกฯ มาตรา 43, 157
ระหว่างพิจารณาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ ส. มารดา ช. ผู้เสียหายเข้าร่วมเป็นโจทก์
โดยมิได้ระบุว่าอนุญาตให้เข้าร่วมเป็นโจทก์ในความผิดฐานใด
แต่ก็พอแปลได้ว่าศาลชั้นต้นอนุญาตให้ ส.
เข้าร่วมเป็นโจทก์เฉพาะข้อหากระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัสตาม
ป.อ. มาตรา 300 เพราะตามฟ้องโจทก์ระบุว่า ช. ได้รับอันตรายสาหัส ช.
จึงเป็นผู้เสียหายแต่เฉพาะในข้อหาดังกล่าวเท่านั้น
ต่อมาศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษาลงโทษจำเลยโดยรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลย
ซึ่งความผิดตาม ป. อ. มาตรา 300 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี
หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ โจทก์ร่วมจึงต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตาม
ป.วิ.อ. มาตรา 193 ทวิ
ที่โจทก์ร่วมอุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำคุกจำเลยโดยไม่รอการลงโทษจำคุกนั้น
เป็นอุทธรณ์โต้เถียงดุลพินิจในการลงโทษ
จึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามบท บัญญัติของกฎหมายดังกล่าว
..............................
เฉลิมวุฒิ สาระกิจ
อาจารย์คณะนิติศาสตร์
มหาวิทยาลัยพะเยา
No comments:
Post a Comment