บทตัดพยาน (Exclusionary rule)
quiz พยานวิแพ่ง100 ข้อ
ตอนนี้เปิดให้ทำฟรี ลองเล่นดูได้เลยครับ
Deadline: 11:14pm, March 13
เข้าเวป https://quizizz.com/join/
ใส่โค๊ด 907471
ตัวอย่างข้อสอบเนติบัณฑิต สมัย 62
ข้อ 8.
พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องนายดำจำเลยในข้อหาร่วมกันปล้นทรัพย์โดยมีอาวุธ
พนักงานอัยการได้สืบพยานบางส่วน ดังนี้
(ก)
นำสืบนายแดงเบิกความว่า เป็นคนขับรถพานายดำกับพวกอีก 3 คนไปปล้นบ้านนายเหลือง โดย
นายแดงคอยดูต้นทางให้ ชั้นสอบสวนนายแดงถูกดำเนินคดีเป็นผู้ต้องหา
แต่พนักงานอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องโดยกันไว้เป็นพยาน
(ข)
นำสืบพนักงานสอบสวนเบิกความว่า นายดำให้การรับสารภาพว่าร่วมปล้นบ้านนายเหลือง
และนำทรัพย์ที่ปล้นได้กับมีดที่พกติดตัวไปปล้นไปซ่อนไว้ที่วัด
และได้นำเจ้าพนักงานตำรวจไปติดตามทรัพย์ที่ปล้นและมีดมาได้
แต่ตอบคำถามค้านยอมรับว่า ก่อนสอบปากคำนายดำ
ไม่ได้แจ้งเตือนนายดำว่าคำให้การของนายดำอาจใช้เป็นพยานหลักฐานในการพิจารณาได้
(ค)
นำสืบทรัพย์ที่ปล้นมาได้ และอาวุธมีดที่ใช้ในการปล้น
ให้วินิจฉัยว่า ศาลจะรับฟังพยานหลักฐานที่พนักงานอัยการนำสืบในข้อ (ก)
(ข) และ (ค) ได้หรือไม่
......................................
ขออธิบายตามหลักวิชาการนะครับ
ประเด็นตามข้อ ก. มีอยู่ว่า นายแดงหนึ่งในผู้กระทำผิดฐานปล้นทรัพย์
แต่ในคดีที่พนักงานอัยการฟ้องคดีต่อศาล ไม่ได้ฟ้องนายแดงด้วย
โดยกันตัวนายแดงไว้เป็นพยาน คำเบิกความของนายแดงต่อศาลจะรับฟังได้หรือไม่เพียงใด
ในทางกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามีหลักการประการสำคัญอยู่ข้อหนึ่งเรียกว่า
"สิทธิจะไม่ให้การอันเป็นปฏิปักษ์ต่อตนเองอันอาจทำให้ถูกฟ้องคดี"
หรือเรียกว่า เขามีสิทธิที่จะไม่ให้การปลักปรำตัวเอง
ดังนั้นเมื่อเขามีสิทธิที่จะไม่ให้การใดๆ เลยก็ย่อมทำได้ เป็นสิทธิของจำเลย
การจะบังคับให้จำเลยให่้การย่อมเป็นการกระทำที่จำเลยไม่สมัครใจ ถ้อยคำดังกล่าวก็รับฟังเป็นพยานหลักฐานไม่ได้
ดังนั้นการที่จะให้จำเลยให้การซัดทอดจำเลยเองรวมถึงจำเลยคนอื่นด้วย
ย่อมเป็นการขัดกับหลักการข้างต้น
จึงเป็นที่มาของการบัญญัติกฎหมายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 232
"ห้ามมิให้โจทก์อ้างจำเลยเป็นพยาน" โดยมีหลักการดังข้างต้นที่ได้อธิบายไป
ดังนั้นในคดีใดที่จำเลยถูกฟ้อง โจทก์จะอ้างจำเลยเป็นพยานฝ่ายโจทก์ไม่ได้
เว้นเสียแต่ว่า จะกันตัวผู้กระทำผิดคนใดคนหนึ่งไว้เป็นพยาน กล่าวคือ
คนที่กันตัวไว้เป้นพยานนั้นก็เป็นผู้ร่วมกระทำผิด
แต่พยานหลักฐานที่มีอยู่ในสำนวนยังมีน้ำหนักน้อย
ไม่เพียงพอที่จะพิสูจน์ให้ศาลเห็นได้ว่าจำเลยทั้งหมดกระทำผิดจริง ดังนั้น
ถ้าหากผู้ร่วมกระทำผิดคนใดคนหนึ่งยินยอมที่จะเป็นพยาน ก็สามารถกันตัวไว้เป็นพยาน
เพื่ออาศัยคำเบิกความดังกล่าวเป็นพยานในการพิสูจน์ความผิดของจำเลยในชั้นศาลได้
โดยไม่ขัดกับ ป.วิ.อาญา มาตรา 232 แต่อย่างใด เพราะไม่ได้อ้างจำเลยเป็นพยานโจทก์
คำเบิกความดังกล่าวย่อมรับฟังเป็นพยานหลักฐานได้
ข้อสังเกตุ
ในการกันตัวบุคคลใดไว้เป็นพยานจะต้องปรากฎข้อเท็จจริงเบื้องต้นว่า
พยานหลักฐานไม่เพียงพอที่จะพิสูจน์ความผิด
หากมีพยานหลักฐานชัดเจนอยู่แล้วก็ไม่จำเป็น
อีกทั้งการเลือกกันตัวผู้กระทำผิดคนใดไว้เป็นพยานต้องพิจารณาจากบุคคลที่มีส่วนกระทำความผิดน้อยที่สุด
(ในข้อสอบข้อนี้ กันตัวนายแดงไว้เป็นพยาน
เพราะนายแดงเป็นคนขับรถพาไปปล้นทรัพย์ถือว่าเป็นตัวการร่วมที่มีส่วนน้อยที่สุด)
.........................................
ส่วนประเด็นข้อ ข. ดำให้การรับสารภาพว่าร่วมปล้นบ้านนายเหลือง
และนำทรัพย์ที่ปล้นได้กับมีดที่พกติดตัวไปปล้นไปซ่อนไว้ที่วัด และได้นำเจ้าพนักงานตำรวจไปติดตามทรัพย์ที่ปล้นและมีดมาได้
แต่ตอบคำถามค้านยอมรับว่า ก่อนสอบปากคำนายดำ
ไม่ได้แจ้งเตือนนายดำว่าคำให้การของนายดำอาจใช้เป็นพยานหลักฐานในการพิจารณา ได้
ประเด็นว่าคำให้การรับสารภาพของนายดำรัยฟังเป็นพยานหลักฐานได้หรือไม่
เพราะมีปัญหาว่า ก่อนที่จะมีการสอบปากคำนายดำ
ไม่ได้แจ้งเตือนนายดำว่าคำให้การของนายดำอาจใช้เป็นพยานหลักฐานได้
ซึ่งการแจ้งสิทธิดังกล่าวนั้นในทางกฎหมายวิธีพิจารณามีหลักการสำคัญอยู่ประการหนึ่งว่า
"คำให้การทั้งหลายต้องเกิดขึ้นโดยสมัครใจ (Voluntary) หากคำให้การใดเกิดขึ้นโดยไม่สมัครใจ
เราถือว่าคำให้การนั้นเป็นคำให้การที่เกิดขึ้นโดยไม่ชอบ
อย่างไรถือว่าเป็นคำให้การโดยสมัครใจ
คำให้การโดยสมัครใจที่เกิดขึ้นโดยชอบนั้น จะต้องมีการแจ้งสิทธิให้ทราบเสียก่อนว่า
เขามีสิทธิที่จะให้การหรือไม่ให้การก็ได้ คำให้การของเขานั้นอาจใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีได้
เพื่อให้ผู้ต้องหาได้รู้ตัวว่าคำพูดของเขาจะมีผลต่อคดี เมื่อแจ้งสิทธิแล้ว
ผู้ต้องหาจะไม่ให้การก็ได้ หรือจะให้การอย่างไรก็เป็นสิทธิของผู้ต้องหา
แม้จะโกหกก็ยังไม่มีความผิดฐานแจ้งความเท็จหรือเบิกความเท็จ
ดังนั้นกฎหมายจึงกำหนดให้เจ้าหน้าที่ต้องแจ้งสิทธิที่จะให้การหรือไม่ให้การ
แก่ผู้ต้องหาก่อนทำการสอบสวนเพื่อให้ผู้ต้องหารู้ตัว และให้การโดยสมัครใจ
หากไม่มีการแจ้งสิทธิก็ถือว่าเป็นคำให้การที่เกิดขึ้นโดยไม่ชอบ
ห้ามไม่ให้รับฟังเป็นพยานหลักฐาน
ซึ่งหลักการดังกล่าวถูกนำมาบัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
มาตรา 134/4 "ในการถามคำให้การผู้ต้องหา
ให้พนักงานสอบสวนแจ้งให้ผู้ต้องหาทราบก่อนว่า
(1)
ผู้ต้องหามีสิทธิที่จะให้การหรือไม่ก็ได้ ถ้าผู้ต้องหาให้การ
ถ้อยคำที่ผู้ต้องหาให้การนั้นอาจใช้เป็นพยานหลักฐานในการพิจารณาคดีได้
(2) ผู้ต้องหามีสิทธิให้ทนายความหรือผู้ซึ่งตนไว้วางใจเข้าฟังการสอบปากคำตนได้
เมื่อผู้ต้องหาเต็มใจให้การอย่างใดก็ให้จดคำให้การไว้
ถ้าผู้ต้องหาไม่เต็มใจให้การเลยก็ให้บันทึกไว้
ถ้อยคำใดๆ
ที่ผู้ต้องหาให้ไว้ต่อพนักงานสอบสวนก่อนมีการแจ้งสิทธิตามวรรคหนึ่ง หรือก่อนที่จะดำเนินการตาม
มาตรา 134/1 มาตรา 134/2 และ มาตรา 134/3
จะรับฟังเป็นพยานหลักฐานในการพิสูจน์ความผิดของผู้นั้นไม่ได้"
ส่วนประเด็นข้อ ค
ประเด็น คือ
ผลจากคำให้การที่เจ้าหน้าที่ไม่ได้แจ้งสิทธิแก่นายดำนั้นเป็นเหตุให้ได้ทรัพย์ที่ปล้นกับมีดที่พกติดตัวไปปล้นไปซ่อนไว้มาด้วย
ปัญหาคือ พยานวัตถุที่ได้มาจากคำให้การที่เกิดขึ้นโดยไม่มีการแจ้งสิทธิ
เป็นพยานหลักฐานที่รับฟังได้หรือไม่
ในทางกฎหมายวิธีพิจารณา พยานวัตถุเป็นพยานที่เราเรียกว่า
พยานหลักฐานที่มีรูปร่าง (Tangible Evidence) ซึ่งคุณค่าของพยานชนิดนี้ คือ
สิ่งที่วัตถุหรือพยานนั้นได้แสดงให้ศาลได้เห็นว่ามันมีรูปร่างอย่างไร ลักษณะ
รายละเอียดของมันมีอยู่อย่างไร
โดยพยานวัตถุนี้ศาลจะรับฟังได้นั้นต้องเป็นพยานหลักฐานชนิดที่มิได้เกิดขึ้นจากการจูงใจ
มีคำมั่นสัญญา ขู่เข็ญ หลอกลวง หรือโดยมิชอบประการอื่น
ปัญหาว่าพยานวัตถุที่ได้มาจากคำให้การที่ไม่ชอบนั้น
เป็นพยานหลักฐานที่เกิดขึ้นโดยชอบหรือไม่
โดยพิจารณาได้ดังนี้หากพยานวัตถุนั้นแต่เดิมนั้น ไม่มีอยู่ แต่เพราะได้เกิดมีขึ้นมาเพราะการจูงใจ
มีคำมั่นสัญญา ขู่เข็ญ หลอกลวง หรือโดยมิชอบด้วยประการอื่นนั้นเอง
เช่นนี้ถือว่าเป็นพยานหลักฐานเกิดขึ้นโดยมิชอบ
แต่ตามข้อเท็จจริงการที่ทั้งทรัพย์ของกลางและมีดที่พกติดตัวไป
เป็นพยานวัตถุที่ได้มาจากคำให้การที่เกิดขึ้นโดยไม่มีการแจ้งสิทธิ
เป็นพยานหลักฐานที่มีอยู่แล้ว ไม่ได้เกิดขึ้นมาใหม่จากการอันมิชอบแต่อย่างใด
จึงเป็นพยานหลักฐานที่เกิดขึ้นโดยชอบ แต่ได้มาโดยมิชอบ
"เป็นผลไม้ของต้นไม้ที่มีพิษ" (Fruit of the Poisonous Tree)
ปัญหาต่อมา คือ พยานหลักฐานที่เกิดขึ้นโดยชอบแต่ได้มาโดยการกระทำที่ไม่ชอบนั้นจะรับฟังเป็นพยานหลักฐานได้หรือไม่
แต่เดิมนั้นเราก็ถือกันว่า
พยานหลักฐานต้องเกิดขึ้นโดยชอบและได้มาโดยชอบด้วยจึงจะรับฟังเป็นพยานหลักฐานได้
แต่ในหลายๆกรณีก็เป็นที่น่าเสียดายที่มีพยานหลักฐานที่ชอบอยู่
แต่วิธีการได้มาไม่ชอบ ทำให้การปราบปรามอาชญากรรมไม่มีประสิทธิภาพ
ทำให้เกิดแนวคิดว่าเพื่อให้การปราบหรามอาชญากรรมมีประสิทธิภาพศาลอาจใช้ดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานที่เกิดขึ้นโดยชอบแต่ได้มาโดยไม่ชอบได้
เป็นเหตุผลของการแก้ไขประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 226/1(แก้ไขเมือ ปี
พศ.51)
มาตรา 226/1 "ในกรณีที่ความปรากฏแก่ศาลว่า
พยานหลักฐานใดเป็นพยานหลักฐานที่เกิดขึ้นโดยชอบ แต่ได้มาเนื่องจากการกระทำโดยมิชอบ
หรือเป็นพยานหลักฐานที่ได้มาโดยอาศัยข้อมูลที่เกิดขึ้นหรือได้มาโดยมิชอบ
ห้ามมิให้ศาลรับฟังพยานหลักฐานนั้น เว้นแต่การรับฟังพยานหลักฐานนั้นจะเป็นประโยชน์ต่อการอำนวยความยุติธรรม
มากกว่าผลเสีย อันเกิดจากผลกระทบต่อมาตรฐานของระบบงานยุติธรรมทางอาญา
หรือสิทธิเสรีภาพพื้นฐานของประชาชน
ในการใช้ดุลพินิจรับฟังพยานหลักฐานตามวรรคหนึ่ง
ให้ศาลพิจารณาถึงพฤติการณ์ทั้งปวงแห่งคดี โดยต้องคำนึงถึงปัจจัยต่าง ๆ
ดังต่อไปนี้ด้วย
(1) คุณค่าในเชิงพิสูจน์ ความสำคัญ
และความน่าเชื่อถือของพยานหลักฐานนั้น
(2) พฤติการณ์และความร้ายแรงของความผิดในคดี
(3) ลักษณะและความเสียหายที่เกิดจากการกระทำโดยมิชอบ
(4)
ผู้ที่กระทำการโดยมิชอบอันเป็นเหตุให้ได้พยานหลักฐานมานั้นได้รับการลงโทษหรือไม่เพียงใด"
ซึ่งโดยหลักการแล้วก็ห้ามไม่ให้ศาลรับฟังพยานหลักฐานที่ได้มาโดยมิชอบอยู่นั้นเอง
แต่ศาลอาจใช้ดุลพินิจได้ ตามเงือนไขที่กฎหมายกำหนด
....................................................
ธงคำตอบเน
(ก) นายแดงเป็นพยานบุคคลซึ่งสามารถพิสูจน์ความผิดของจำเลยได้
จึงสามารถรับฟังเป็นพยานบุคคล
ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 226
แม้นายแดงจะถูกดำเนินคดีเป็นผู้ต้องหาแต่ก็มิได้ถูกฟ้องเป็นจำเลย
จึงเป็นพยานโจทก์ได้ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 232
(ข)
คำให้การของนายดำเป็นคำให้การของผู้ต้องหาซึ่งให้ไว้ต่อพนักงานสอบสวนโดยพนักงานสอบสวน
มิได้แจ้งให้ผู้ต้องหาทราบว่าผู้ต้องหามีสิทธิที่จะให้การหรือไม่ก็ได้
และถ้อยคำที่ผู้ต้องหาให้การ อาจใช้เป็นพยานหลักฐานในการพิจารณาคดีได้
จึงรับฟังเป็นพยานหลักฐานมิได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 134/4
วรรคท้าย
(ค)
ทรัพย์ที่ปล้นมาได้และมีดของกลางเป็นวัตถุพยานที่ได้มาโดยอาศัยคำให้การของผู้ต้องหาที่มิได้รับ
แจ้งว่าคำให้การของเขาสามารถใช้ยันเขาในชั้นศาลได้
จึงเป็นข้อมูลที่เกิดขึ้นโดยมิชอบ โดยหลักแล้ว ห้ามมิให้ศาลรับฟัง
เว้นแต่การรับฟังพยานหลักฐานนั้นจะเป็นประโยชน์ต่อการอำนวยความยุติธรรมมากกว่าผลเสียอันเกิดจากผลกระทบต่อมาตรฐานของระบบงานยุติธรรมทางอาญาหรือสิทธิเสรีภาพพื้นฐานของประชาชนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
มาตรา 226/1 กรณีนี้ วัตถุของกลางทั้ง 2 ชิ้น เป็นพยานหลักฐานสำคัญในการพิสูจน์ความผิดฐานปล้นทรัพย์ซึ่งเป็นความผิดร้ายแรง
และลักษณะการกระทำมิชอบของพนักงานสอบสวนเป็นเพียงการละเลยมิได้แจ้งเตือนสิทธิของผู้ต้องหา
ซึ่งเป็นความผิดพลาดเล็กน้อย
ศาลจึงรับฟังวัตถุของกลางทั้งสองชิ้นเป็นพยานหลักฐานได้
โปรดอ่าน
พยานหลักฐาน ตอนที่ 1
http://chalermwutsa.blogspot.com/2012/12/1.html
พยานหลักฐาน ตอนที่ 2
http://chalermwutsa.blogspot.com/2012/12/blog-post.html
คำรับสารภาพและคำซัดทอดของผู้กระทำผิดในชั้นถูกจับกุม
http://chalermwutsa.blogspot.com/2013/01/blog-post_7.html
สิทธิที่จะไม่ให้ถ้อยคำอันเป็นปฎิปักษ์กับตัวเอง
http://chalermwutsa.blogspot.com/2013/01/1_16.html
พยานหลักฐาน ตอนที่ 1
http://chalermwutsa.blogspot.com/2012/12/1.html
พยานหลักฐาน ตอนที่ 2
http://chalermwutsa.blogspot.com/2012/12/blog-post.html
คำรับสารภาพและคำซัดทอดของผู้กระทำผิดในชั้นถูกจับกุม
http://chalermwutsa.blogspot.com/2013/01/blog-post_7.html
สิทธิที่จะไม่ให้ถ้อยคำอันเป็นปฎิปักษ์กับตัวเอง
http://chalermwutsa.blogspot.com/2013/01/1_16.html
...........................................
เฉลิมวุฒิ สาระกิจ
อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา
ขอบคุณครับที่ติดตาม ^^
ReplyDelete