ผู้เสียหายกับคุณธรรมทางกฎหมาย
เฉลิมวุฒิ สาระกิจ
อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา
ดังนั้นสิ่งที่กฎหมายให้ความคุ้มครอง ไม่ใช่ตัวทรัพย์ที่เป็นแต่เพียงกรรมของการกระทำ แต่เป็นกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองที่อยู่เหนื
เมื่อคุณธรรมทางกฎหมายถูกกระทบกร
ในกรณีของเจ้าของทรัพย์ก็เป็นผูู้เสียหาย เพราะกรรมสิทธิ์ของเขาถูกกระทบกร
ในกรณีของผู้ที่ไม่ใช่เจ้าของ แต่ได้ครอบครองทรัพย์นั้นอยู่ เช่น ยืมหรือเช่ามา แม้เขาจะไม่มีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์นั้นก็ถือว่าเป็นผู้เสียหาย เพราะสิทธิครอบครองของเขาก็ถูกก
เพราะฉะนั้น หากเราเข้าใจว่า ความผิดอาญาในแต่ละฐานความผิด คุณธรรมทางกฎหมายของความผิดในฐานนั้นๆ คืออะไร เราก็จะสามารถวินิจฉัยได้ว่า ใครเป็นผู้เสียหายที่มีสิทธิในการดำเนินคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาบ้าง
กล่าวมาซะยาว คำถามว่าแล้วอะไรมันคือ คุณธรรมทางกฎหมาย(Rechtsgut) ที่ว่า
ศ.ดร. คณิต ณ นคร อธิบายไว้ว่า คุณธรรมทางกฎหมาย ไม่ใช่สิ่งที่เป็นรูปธรรมที่สามารถจับต้องได้โดยใช้ประสามสัมผัสทั้งห้า แต่เป็นสิ่งที่เป็นภาพในความคิดหรือเป็นสิ่งที่เป็นนามธรรม กล่าวโดยเฉพาะเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ (interesse หรือ interest) หรือเป็นสิ่งที่เป็น "คุณค่า" (Wert หรือ value)
ในการที่จะให้การอยู่ร่วมกันมนุษย์ทุกคนต้องเคารพและต้องไม่ละเมิดประโยชน์หรือคุณค่าของการอยู่ร่วมกัน ฉะนั้นจึงสรุปได้ว่า คุณธรรมาทางกฎหมาย คือ ประโยชน์หรือคุณค่าของการอยู่ร่วมกันที่กฎหมายคุ้มครองให้
ขอยกตัวอย่างเกี่ยวกับเรื่องคุณธรรมทางกฎหมายอีกเพื่อให้เกิดความเข้าใจมากขึ้น
ตัวอย่างที่ 1. ความผิดฐานบุกรุก
คุณธรรมทางกฎหมายไม่ใช่ตัวบ้าน แต่สิทธิความเป็นส่วนตัวในการอยู่อาศัยในบ้าน ย่อมเป็นของเจ้าของบ้านหรือผู้ที่ครอบครองบ้านหลังนั้นอยู่ การบุกรุกบ้านผู้อื่น เป็นการรบกวนและละเมิดคุณธรรมทางกฎหมาย ผู้บุกรุกจึงมีความผิดฐานบุกรุก
ตัวอย่างที่ 2. ความผิดฐานพรากผู้เยาว์
ตัวผู้เยาว์ไม่ใช่ผู้เสียหาย เพราะผู้เยาว์เป็นกรรมของการกระทำ ไม่ใช่คุณธรรมทางกฎหมายที่กฎหมายคุ้มครอง สิ่งที่กฎหมายคุ้มครองคือ อำนาจปกครองของบิดามารดาที่ย่อมมีอำนาจในการให้การศึกษาอบรม ตามหน้าที่ของบิดามารดา เมื่อมีผู้มาพรากผู้เยาว์ไป ย่อมกระทบต่อคุณธรรมดังกล่าว บิดามารดาของผู้เยาว์จึงเป็นผู้เสียหายในความผิดฐานนี้ ไม่ใช่ตัวผู้เยาว์
เรื่องคุณธรรมทางกฎหมาย ถ้าทำความเข้าใจให้ดี จะเป็นสิ่งที่ช่วยให้สามารถวินิ
ถ้าเราศึกษาอย่างเข้าใจในเหตุผลของกฎหมาย เราก็สามารถใช้กฎหมายและตีความฎหมายได้อย่างถูกต้องครับ ไม่ต้องมัวไปนั่งจำคำพิพากษาฏีกาว่า ในแต่ละคดีตัดสินไว้อย่างไร ซึ่งบางฎีกาก็ไม่ได้ให้เหตุผลว่า เป็นผู้เสียหายหรือไม่เป็นผู้เสียหายเพราะเหตุใด และประการสำคัญเราไม่ได้ศึกศาคำพิพากษาอย่างเป็นหลักกฎหมาย แต่ศึกษาในฐานะที่เป็นตัวอย่างการใช้และการตีความกฎหมายเท่านั้น
ลองนำวิธีการศึกษาแบบนี้ไปใช้ดูนะครับ
..........................................................
อ้างถึง....ศ.ดร.คณิต ณ นคร, กฎหมายอาญา ภาคทั่วไป,พิมพ์ครั้งที่ 2, 2547
อ่านต่อ
https://books.google.co.th/books/about/%E0%B8%96%E0%B8%B2%E0%B8%A1_%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%9A_%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%8D%E0%B8%B2.html?id=g0VRDwAAQBAJ&redir_esc=y
No comments:
Post a Comment