ความผิดฐานลักทรัพย์
(โดยเฉลิมวุฒิ สาระกิจ)
2.
ความผิดฐานลักทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา
ความผิดฐานลักทรัพย์เป็นการกระทำที่มุ่งต่อสิ่งที่กฎหมายมุ่งประสงค์จะคุ้มครอง
คือ กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินนั้น และการครอบครอง[1]ซึ่งหากทรัพย์นั้นไม่มีใครเป็นเจ้าของ
หรือไม่ได้อยู่ในความครอบครองของผู้ใด
แม้จะมีการเอาไปก็ไม่อาจจะเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ได้
ซึ่งความผิดฐานลักทรัพย์นั้นเป็นความผิดที่เป็นพื้นฐานของความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์
ชิงทรัพย์ และปล้นทรัพย์ โดยเพิ่มองค์ประกอบความผิดขึ้น[2]
และมีผลทำให้ผู้กระทำต้องรับโทษหนักขึ้นตามความผิดนั้น ๆ
2.1 องค์ประกอบความผิด
องค์ประกอบของความผิดฐานลักทรัพย์พิจารณาจากประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 334 ซึ่งบัญญัติความผิดฐานลักทรัพย์ไว้ความว่า
“ผู้ใดเอาทรัพย์ของผู้อื่น
หรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปโดยทุจริต ผู้นั้นกระทำผิดฐานลักทรัพย์
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี และปรับไม่เกินหกพันบาท”
โดยพิจารณาจากบทบัญญัติดังกล่าวแล้ว
องค์ประกอบความผิดฐานลักทรัพย์ คือ การทีบุคคลเอาไปซึ่งทรัพย์ของผู้อื่น
หรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย โดยเจตนาเอาไปหรือเจตนาลักทรัพย์
และมีมูลเหตุชักจูงใจคือ โดยทุจริต[3]
ซึ่งแยกพิจารณาองค์ประกอบแต่ละองค์ประกอบได้ดังนี้
2.1.1
องค์ประกอบภายนอก
1) เอาไป
หมายความว่า
มีการเอาทรัพย์ไปจากการครอบครองของผู้อื่น โดยศาลฎีกาเคยวินิจฉัยไว้ว่า “จำเลยเข้าไปในห้องรับแขกเพื่อลักทรัพย์ตัดสายโทรทัศน์ออกแล้วยกเอาเครื่องรับโทรทัศน์ที่ตั้งอยู่บนโต๊ะเคลื่อนจากที่ตั้งเดิมมาที่กลางห้อง
เผอิญผู้เสียหายมาพบเข้าจำเลยจึงวางไว้ที่พื้นห้องก็ถือได้ว่าเอาทรัพย์ไปแล้ว
เป็นความผิดลักทรัพย์สำเร็จไม่ใช่พยายามลักทรัพย์”[4]
ซึ่งจากคำพิพากษาฎีกาดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า เมื่อมีการทำให้ทรัพย์เคลื่อนที่จากจุดหนึ่งไปยังจุดหนึ่ง
ไม่ว่าระยะทางจะไกลเท่าไหร่
ก็ถือว่าเป็นการเอาไปแล้วจำเลยจึงมีความผิดฐานลักทรัพย์สำเร็จ
แต่ความเห็นของนักกฎหมายบางท่านไม่เห็นพ้องด้วย โดยเห็นว่าการเอาไปจะสำเร็จบริบูรณ์เมื่อการครอบครองเก่าหมดไปและมีการครอบครองใหม่เข้ามาแทนที่อย่างสมบูรณ์[5]
ดังนั้นความผิดฐานลักทรัพย์หากทรัพย์นั้น อยู่ในสภาพที่สามารถเอาไปได้แล้วย่อมเป็นความผิดสำเร็จแต่ถ้าหากว่าทรัพย์นั้นยังไม่อยู่ในสภาพที่สามารถออกไปได้ เช่น รถจักรยานมีโซ่คล้องอยู่แม้จะจูงจักรยานเคลื่อนที่แล้ว แต่ตราบใดที่ยังไม่ตัดโซ่ที่คล้องอยู่ก็ผิดเพียงแค่พยายามลักทรัพย์เท่านั้น หรือหากเป็นพืชผลหรือผลไม้ก็ต้องแยกออกจากต้นหรือหากติดอยู่กับดินก็ต้องจุดขึ้นมาพร้อมที่จะเอาไปได้แล้วจึงจะผิดลักทรัพย์สำเร็จ หากเด็ดหรือถอนขึ้นมาจากดินแล้ว แต่ยังไม่พร้อมที่ตะเอาไปได้ก็ผิดเพียงแค่พยายามเท่านั้น เช่น เด็ดมะม่วงหล่นจากต้นแต่ยังไม่ได้เอาใส่ถุง ผิดเพียงแค่พยายาม ต้องปรากฎว่าเอามะม่วงที่เด็ดลงมาใส่ถุงหรือใส่อะไรที่พร้อมจะเอาไปได้แล้วจึงจะผิดสำเร็จ
การเอาไปนั้นจะต้องเป็นเป็นการทำร้ายกรรมสิทธิ์และการครอบครอง
หมายความว่า
การเอาไปนั้นจะต้องเป็นการเอาที่มีลักษณะตัดกรรมสิทธิ์และการครอบครองของผู้อื่น หรือเข้าครอบครองทรัพย์นั้นโดยการแย่งครอบครอง
โดยผู้ครอบครองเดิมไม่อนุญาต[6] แต่หากเป็นการเอาไปเพียงชั่วคราว
เอาไปใช้ หรือถือวิสาสะ ย่อมไม่ใช่เป็นการเอาไปในลักษณะตัดกรรมสิทธิ์
ซึ่งศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “จำเลยแอบเอารถของผู้เสียหายออกมาเพื่อจะขับไปกินข้าวต้มแล้วจะเอากลับมาคืน
แสดงว่าไม่มีเจตนาจะเอารถนั้นเป็นของตนหรือของผู้อื่นการกระทำของจำเลยยังไม่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์”[7]
การได้มาซึ่งการครอบครองต้องไม่อยู่ที่ผู้กระทำความผิด
หากทรัพย์อยู่ในความครอบครองของผู้กระทำผิด
และมีการเอาไปก็ไม่อาจจะเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ได้
แต่อาจจะมีความผิดฐานยักยอกทรัพย์ ความผิดฐานลักทรัพย์ ทรัพย์นั้นจะต้องอยู่ในการครอบครองของผู้อื่นในขณะที่มีการเอาไป[8]
ซึ่งหมายความว่าผู้อื่นนั้นได้ครอบครองทรัพย์ตามความเป็นจริงและมีเจตจำนงในการครอบครองทรัพย์นั้นด้วย
ผู้นั้นใช้อำนาจปกครองทรัพย์อยู่ตามความเป็นจริงหมายความว่า
ทรัพย์นั้นอยู่ในอำนาจของเจ้าของหรือผู้ครอบครองที่จะจัดการทรัพย์นั้นได้ การครอบครองไม่จำเป็นจะต้องมีการจับต้องตัวทรัพย์ไว้เสมอไป[9]
เพียงแต่หวงกันตามควรแก่พฤติการณ์และสภาพของทรัพย์ซึ่งคนทั่วไปยอมรับรู้ได้ ไม่ว่าทรัพย์นั้นจะอยู่ใกล้หรือไกลเท่าไหร่
เช่น ของที่อยู่ในบริเวณบ้าน แม้เจ้าของไม่อยู่บ้าน
ก็ยังถือว่าเจ้าของนั้นมีการปกครองอยู่ตามเป็นจริง
สัตว์ที่เจ้าของปล่อยให้หากินในบริเวณทุ่ง โดยเจ้าของยืนดูอยู่ห่างๆ
ก็ยังถือว่าเจ้าของนั้นใช้อำนาจปกครองอยู่ตามความเป็นจริง
ผู้นั้นมีเจตจำนงที่จะครอบครองทรัพย์นั้น หมายความว่า
การครอบครองของเจ้าของหรือผู้ครอบครองทรัพย์นั้นจะต้องมีเจตจำนงในการครอบครองทรัพย์ที่ตนยึดถือนั้นด้วย
หากเขาไม่เจตจำนงในการครอบครองทรัพย์
แม้เขาครอบครองอยู่ตามความเป็นจริงก็ไม่อาจจะถือว่าเขาครอบครองทรัพย์นั้นอยู่ เช่น
ของที่คนอื่นทิ้งแล้ว เมื่อมีการเอาไป ย่อมไม่อาจจะมีความผิดฐานลักทรัพย์ได้
2) ทรัพย์ของผู้อื่นหรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย
ความผิดฐานลักทรัพย์นั้น ประมวลกฎหมายอาญาใช้คำว่า
ทรัพย์ ซึ่งก็ไม่ได้มีการนิยามไว้ในประมวลกฎหมายอาญาว่า ทรัพย์
มีความหมายว่าอย่างไร[10]
ดังนั้นการตีความคำว่าทรัพย์จึงต้องอาศัยการตีความตามความหมายของประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย์
ซึ่งมีบัญญัติไว้ใน มาตรา 137 “ทรัพย์ หมายความว่า วัตถุมีรูปร่าง”
ดังนั้นทรัพย์ที่จะลักได้ต้องเป็นทรัพย์ที่สามารถเอาไปได้[11]
เช่นอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ จะต้องเปลี่ยนสภาพเป็นทรัพย์ที่สามารถเอาไปได้ก่อน เช่น
ปกติบ้านไม่สามารถเป็นทรัพย์ที่ถูกเอาไปได้ แต่หากมีการเปลี่ยนสภาพแล้ว เช่น
ถอดเอาประตู หน้าต่างออกมา ย่อมเป็นทรัพย์ที่เอาไปได้
พลังงานโดยปรกติแล้วเป็นสิ่งที่ไม่มีรูปร่าง
เพราะไม่อาจมองเห็นหรือจับต้องได้ แต่อย่างไรก็ตามศาลฎีกาเคยวินิจฉัยไว้ว่า การลักกระแสไฟฟ้า
ย่อมเป็นผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334 หรือ 335 แล้วแต่กรณี[12]
ซึ่งศาลฎีกาไม่ได้เหตุผลในการตัดสินไว้ว่าเพราะเหตุใดจึงเป็นกระแสไฟฟ้าจึงเป็นทรัพย์
ความผิดฐานลักทรัพย์ มูลค่าราคาของทรัพย์นั้นไม่ได้จำกัดว่าต้องมีค่าหรือมีราคาเท่าใดจึงเป็นความผิด
หากทรัพย์นั้นไม่ไร้ค่า แม้จะมีค่ามีราคาน้อย
ผู้เอาทรัพย์ดังกล่าวไปก็มีความผิดเช่นเดียวกัน
รวมถึงกรณีหากทรัพย์นั้นเป็นทรัพย์สินหาย
แม้จะมีเจ้าของแต่เมื่อมีการเอาไปก็ไม่ใช่ความผิดฐานลักทรัพย์เพราะทรัพย์นั้นไม่อยู่ในความครอบครองของใคร[13]
3) ทรัพย์ของผู้อื่นหรือทรัพย์ที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย
หมายความว่าทรัพย์นั้นจะต้องไม่ใช่ของผู้ลักทรัพย์เอง
แม้เขาจะเข้าใจว่าทรัพย์นั้นเป็นของผู้อื่น แต่ความจริงทรัพย์นั้นเป็นของเขาเอง ก็ไม่อาจจะเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ได้
เพราะไม่มีทรัพย์ของผู้อื่นอันเป็นองค์ประกอบภายนอกของความผิดฐานลักทรัพย์
และหากทรัพย์ไม่มีเจ้าของหรือมีเจ้าของแต่เจ้าของสละกรรมสิทธิ์แล้ว[14] ย่อมไม่อาจเป็นทรัพย์ของผู้อื่นที่ลักกันได้
ส่วนคำว่าทรัพย์ที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยนั้น มีความหมายว่า
ทรัพย์นั้นมีเจ้าของหรือผู้ครอบครองมากกว่าคนเดียว และหนึ่งในนั้นคือผู้กระทำผิด
แต่ปัญหาที่จะเกิดทรัพย์ที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยว่า
หากขณะที่มีการเอาทรัพย์นั้นไปนั้น ใครเป็นผู้ครอบครอง[15]
3.1.2 องค์ประกอบภายใน
ความผิดฐานลักทรัพย์นั้นเป็นความผิดที่ต้องกระทำโดยเจตนา
ซึ่งเป็นเจตนาธรรมดาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 59 วรรค 3 แล้ว
ผู้กระทำจะต้องมีมูลเหตุชักจูงใจโดยทุจริตในการเอาทรัพย์นั้นไปอีกด้วย
ซึ่งหากขาดเจตนาประเภทใด การเอาทรัพย์นั้นไปก็ไม่อาจจะเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ได้
โดยแยกพิจารณาเจตนาแต่ละประเภทออกเป็นดังนี้
เจตนาธรรมดา
เจตนาในความผิดฐานลักทรัพย์ในส่วนของเจตนาธรรมดาก็แยกพิจารณาออกเป็น
เจตนาประสงค์ต่อผลและเจตนาย่อมเล็งเห็นผล และผู้กระทำต้องรู้ข้อเท็จจริงว่าทรัพย์ที่ตนเอาไปนั้นเป็นทรัพย์ของผู้อื่นหรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย
หากผู้กระทำไม่รู้ว่าทรัพย์นั้นเป็นของผู้อื่นแต่เข้าใจว่าเป็นของตัวเอง
กรณีเช่นนี้ก็จะถือว่าผู้กระทำมีเจตนาเอาทรัพย์ของผู้อื่นไปไม่ได้ เจตนาเอาไปนั้นผู้กระทำต้องมีอยู่ในขณะกระทำความผิดหากมีเจตนาเอาไปภายหลังจากได้เข้าครอบครองทรัพย์นั้นแล้วไม่อาจเป็นความผิดฐานลักทรัพย์
เช่น ไปรับประทานอาหารที่ภัตตาคาร[16]
โดยถอดเสื้อนอกแขวนไว้ กลับมาถึงบ้าน
พบว่ามีซองบุหรี่ของผู้อื่นอยู่ในเสื้อของตนเอง โดยที่ไม่ทราบมาก่อน แต่เกิดเจตนาทุจริตขึ้นในภายหลังก็ไม่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์
มูลเหตุชักจูงใจโดยทุจริต
ความผิดฐานลักทรัพย์แม้ว่าผู้กระทำนั้นเอาทรัพย์นั้นไปโดยรู้ว่าทรัพย์นั้นเป็นของผู้อื่น
โดยประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลต่อทรัพย์นั้นก็ตาม
ก็ยังไม่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์ได้ ผู้กระทำจะมีความผิดฐานลักทรัพย์ได้จะต้องปรากฏว่าการเอาทรัพย์นั้นไป
เป็นการกระทำโดยทุจริตด้วย
ซึ่งความหมายของคำว่าโดยทุจริตนั้นประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 1 (1)
"โดยทุจริต" หมายความว่าเพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้
โดยที่ชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเองหรือผู้อื่น
จากบทนิยามคำว่า โดยทุจริต
พอจะแยกองค์ประกอบออกมาได้ 2 ประการ ดังนี้
1) เพื่อแสวงหาประโยชน์มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย
คำว่า โดยทุจริต
เป็นการแสวงหาประโยชน์ การแสวงหา คือการกระทำใด ๆ
เพื่อให้ได้มาสำหรับตนหรือผู้อื่น และเป็นการแสวงหาประโยชน์ที่มีลักษณะในทางบวก
หากเป็นในทางลบเช่น
การทำลายทรัพย์หรือการทำให้ทรัพย์หลุดมือจากผู้อื่นจึงไม่เป็นการแสวงหาประโยชน์[17]
คำว่าประโยชน์ในที่นี้อาจจะเป็นประโยชน์ในทางทรัพย์สินหรือไม่ใช่ประโยชน์ในทางทรัพย์สินก็ได้
เพราะมาตรา 1(1)
ไม่ได้บัญญัติไว้ว่าประโยชน์ที่ไม่ควรได้นั้นหมายถึงเฉพาะประโยชน์ในทางทรัพย์สิน
บทบัญญัติมาตราใดไม่ได้บัญญัติเฉพาะประโยชน์ในทางทรัพย์สิน
ย่อมหมายความถึงประโยชน์โดยทั่วไป ทั้งที่เป็นทรัพย์สินและไม่เป็นทรัพย์สิน[18]หากการแสวงหาประโยชน์ไม่ว่าจะเป็นประโยชน์ในทางทรัพย์สินหรือไม่ใช่ประโยชน์ในทางทรัพย์สินก็ตาม
ผู้นั้นแสวงหามาโดยชอบย่อมไม่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์
2) สำหรับตนเองหรือผู้อื่น
การแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายนั้น
ไม่ว่าผู้กระทำจะกระเพื่อประโยชน์ของตนเองหรือของผู้อื่นก็ย่อมเป็นการกระทำโดยทุจริตทั้งสิ้น
และการทุจริตนั้นต้องมีขณะเอาทรัพย์นั้นไป
ถ้าเจตนาโดยทุจริตเกิดขึ้นภายหลังก็ไม่อาจเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ได้
[1] คณิต ณ นคร, กฎหมายอาญาภาคความผิด.
พิมพ์ครั้งที่ 10. กรุงเทพมหานคร : วิญญูชน,
2553. หน้า 306
[2] หยุด แสงอุทัย, กฎหมายอาญา ภาค
2-3. พิมพ์ครั้งที่ 11. กรุงเทพมหานคร : มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2553. หน้า 260
[3] คณิต ณ นคร, กฎหมายอาญาภาคความผิด. พิมพ์ครั้งที่ 10.
กรุงเทพมหานคร : วิญญูชน, 2553.หน้า 306
[4] คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2074/2514
[5] คณิต ณ นคร, กฎหมายอาญาภาคความผิด. พิมพ์ครั้งที่ 10.
กรุงเทพมหานคร : วิญญูชน, 2553.หน้า 308
[6] จิตติ ติงศภัทิย์, คำอธิบายประมวลกฎหมายอาญา
ภาค 1. พิมพ์ครั้งที่ 10. กรุงเทพมหานคร : เนติบัณฑิตยสภา, 2546. หน้า 569
[7] คำพิพากษาฎีกาที่ 443/2515
[8] หยุด แสงอุทัย, กฎหมายอาญา ภาค 2-3. พิมพ์ครั้งที่ 11.
กรุงเทพมหานคร : มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2553. หน้า 261
[9] จิตติ ติงศภัทิย์. คำอธิบายประมวลกฎหมายอาญา
ภาค 1. พิมพ์ครั้งที่ 10. กรุงเทพมหานคร : เนติบัณฑิตยสภา, 2546. หน้า 543
[10] หยุด แสงอุทัย, กฎหมายอาญา ภาค 2-3. พิมพ์ครั้งที่ 11.
กรุงเทพมหานคร : มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2553. หน้า 264
[11] จิตติ ติงศภัทิย์, คำอธิบายประมวลกฎหมายอาญา
ภาค 1. พิมพ์ครั้งที่ 10. กรุงเทพมหานคร : เนติบัณฑิตยสภา, 2546. หน้า 525
[12] คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 877/2501
[13] จิตติ ติงศภัทิย์, คำอธิบายประมวลกฎหมายอาญา
ภาค 1. พิมพ์ครั้งที่ 10. กรุงเทพมหานคร : เนติบัณฑิตยสภา, 2546. หน้า 545
[14] จิตติ ติงศภัทิย์, คำอธิบายประมวลกฎหมายอาญา
ภาค 1. พิมพ์ครั้งที่ 10. กรุงเทพมหานคร : เนติบัณฑิตยสภา, 2546. หน้า 527
[15] หยุด แสงอุทัย, กฎหมายอาญา ภาค 2-3. พิมพ์ครั้งที่ 11. กรุงเทพมหานคร :
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2553. หน้า 265
[16] หยุด แสงอุทัย, กฎหมายอาญา ภาค 2-3. พิมพ์ครั้งที่ 11. กรุงเทพมหานคร :
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2553. หน้า 266
[17] คณิต ณ นคร, กฎหมายอาญาภาคความผิด. พิมพ์ครั้งที่ 10.
กรุงเทพมหานคร : วิญญูชน, 2553. หน้า 311
[18] จิตติ ติงศภัทิย์, คำอธิบายประมวลกฎหมายอาญา
ภาค 1. พิมพ์ครั้งที่ 10. กรุงเทพมหานคร : เนติบัณฑิตยสภา, 2546.หน้า 624
No comments:
Post a Comment