ความรับผิดทางอาญากรณีนำเอาทรัพย์ของผู้อื่นไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
วารสารรพี นิติศาสตร์ พะเยา 2554
เฉลิมวุฒิ สาระกิจ
บทนำ
ตามกฎหมายอาญาของประเทศไทยนั้นการพาเอาทรัพย์ของผู้อื่นไปจากความครอบครองโดยเจตนา
ถือเป็นการกระทำตามความผิดฐานลักทรัพย์แต่ความผิดฐานนี้หมายความเฉพาะกรณีที่ผู้กระทำมีเจตนาที่จะเอาทรัพย์ไปโดยตัดกรรมสิทธิ์ของผู้เป็นเจ้าของแต่มิได้รวมถึงฟการนำเอาทรัพย์ของผู้อื่นไปใช้เป็นการชั่วคราวแล้วนำกลับเอามาคืนฟซึ่งแตกต่างจากกฏหมายต่างประเทศฟเช่น กฏหมายอาญาของประเทศสหรัฐอเมริกาที่ได้บัญญัติให้การนำทรัพย์ไปจากความครอบครองผู้อื่นเป็นชั่วคราวเป็นความผิดฟในบทความนี้จะได้กล่าวถึงข้อพิจารณาของกฏหมายไทยและกฏหมายต่างประเทศเรื่องความรับผิดทางอาญาในกรณีความรับผิดทางอาญากรณีนำเอาทรัพย์ของผู้อื่นไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
๑.
ความผิดฐานลักทรัพย์ตามประมวลกฏหมายอาญาของไทย
ความผิดฐานลักทรัพย์ตามประมวลกฏหมายอาญาของไทยนั้น
ปรากฏอู่ในประมวลกฏหมายอาญา มาตรา ๓๔๔ ซึ่งบัญญัติว่า "ผู้ใดเอาทรัพย์ของผู้อื่น
หรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของอยู่รวมด้วยไปโดยทุจริต ผู้นันกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ ต้องระวังโทษจำคุกไม่เกินสามปี
และปรับไม่เกินหกพันบาท" เป็นความผิดที่กฏหมายมุ่งคุ้มครองกรรมสิทธิ์ในทรัพย์และสิทธิการครอบครองของบุคคล
ไม่ให้ผู้ใดม่แย่งไป หรือเอาไป หากมีผู้ใดมาแย่งทรัพย์นันหรือเอาทรัพย์นั้นไป ย่อมถือว่าผู้นั้นกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ต้องระวัง
ทษตามที่กฏหมายบัญญัติ
ตามหลักกฏหมายอาญาของไทยนั้น ผู้กระทำจะมีความผิดฐานลักทรัพย์หรือไม่จะต้องพิจารณาตามโครงสร้างความรับผิดและองค์ประกอบความผิดฐานลักทรัพย์
กล่าวคือ จะต้องมีการกระทำครบองค์ประกอบภายนอกและองค์ประกอบภายในเสียก่อนฟโดยความผิดฐายลักทรัพย์มีองค์ประกอบดังต่อไปนี้
องค์ประกอบภายนอก
มีข้อพิจารณาสำคัญคือ
มีการเอาไป ซึ่งหมายถึงจะต้องมีการทำให้ทรัพย์นั้นเคลื่อนที่จากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง
และทรัพย์นั้นต้องอยู่ในลักษณะที่พร้อมจะเอาไปได้
ซึ่งการเอาไปในที่นี้จะต้องเป็นการเอาไปในลักษณะที่เป็นการตัดกรรมสิทธิ์ของเจ้าของทรัพย์
กล่าวคือ เอาไปแล้วเอาไปเลย ไม่มีความคิดที่จะเอามาคืน
หรือต้องไม่ใช่การเอาไปโดยถือวิสาสะ หรือเคยหยิบยืมกันมาก่อน
นอกจากนี้หากเป็นการเอาไปซึ่งทรัพย์ของตัวเองโดยเข้าใจว่าเป็นของผู้อื่นก็ไม่เป็นความผิดฟเนื่องจากขาดสิ่งที่เรียกว่าเจตนาโดยสุจริต
อันเป็นองค์ประกอบถายในซึ่งจะได้กล่าวในหัวข้อต่อไป
องค์ประกอบภายใน
การกระทำที่จะถือว่าเป็นความผิดในทางอาญานั้นฟผู้กระทำจะต้องมีเจตนาหมายความว่า
ผู้กระทำจะต้องรู้สำนึกในการกระทำของตนและในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลในการกระทำของตน86aว่ากำลังเอาทรัพย์ซึ่งเป็นของผู้อื่นหรือทรัพย์ทีุ่อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไป87
นอกจากรู้สำนึกในการกระทำของตนเองแล้ว
ผู้กระทำจะต้องมีเจตนาโดยทุจริตในการเอาทรัพย์ของผู้อื่นหรือผู้อื่นเป็นเจ้าของอยู่รวมด้วย
ซึ่งเจตนาโดยทุจริตเป็นเจตนาพิเศษที่ผู้กระทำความผิดฐานลักทรัพย์ต้องมีในขณะกระทำ
หากการกระทำนั้นขาดเจตนาโดยทุจริตก็ไม่อาจถือว่ามีความผิดฐานลักทรัพย์ได้
ถ้าหากขณะเอาทรัพย์นั้นไปไม่มีเจตนาโดยทุจริตมาตั้งแต่ต้น
แต่มาเกิดเจตนาทุจริตในภายหลังจากที่ได้ทรัพย์มาแล้วก็ไม่ผิดฐานลักทรัพย์เช่นเดียวกัน
แต่ทั้งนี้อาจมีความผิดฐานยักยอกทรัพย์88
ได้
ที่กล่าวมานั้นเป็นองค์ประกอบความผิดฐานลักทรัพย์
ที่ใช้สำหรับพิจารณาว่าผู้ที่เอาทรัพย์ของผู้อื่นหรือทรัพย์ที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปนั้นจะมีความผิดฐานลักทรัพย์หรือไม่aโดยมีคำพิพากษาของศาลไทยได้ตัดสินไว้เป็นแนวทางการพิจารณาดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ ๔๔๓/๒๕๑๕
จำเลยแอบเอารถของผู้เสียหายออกมาเพือจะขับไปกินข้าวต้มแล้วจะเอากลับมาคืนฟแสดงว่าไม่มีเจตนาจะเอารถนั้นเป็นของตนหรือของผู้อื้นการกระทำของจำเลยยังไม่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์
คำพิพากษาฎีกาที่ ๓๘๙๔/๒๕๓๑
จำเลยและ ป.ผู้เสียหาย
เป็นพี่น้องกัน จำเลยมาขอยืมรถจักรยานยนต์จาก ป. แต่ ป.ไม่ให้ จำเลยแสดงกิริยาเอะอะโวยวาย
แล้วต่อมาก็ได้มาเอารถจักรยานยนต์ดังกล่าวไป แล้วขับขี่พาเพื่อนไปรับประทานอาหาร การกระทำของจำเลยในการเอารถจักรยานยนต์ไป
เป็นเพียงการถือวิสาสะฉันพี่น้อง และเมื่อเอาไปแล้วก็มิได้หลบหนีแต่อย่างใด
จำเลยจึงขาดเจตนาทุจริต ไม่มีความผิดฐานลักทรัพย์
คำพิพากษาฎีกาที่
๑๙๑๕/๒๕๔๓
จำเลยทั้งสองจ้างให้ผู้เสียหายขับขี่รถจักรยายนต์ไปส่ง
ระหว่างทางมีการบังคับให้ผู้เสียหายเข้าไปในกระท่อม แต่ผู้เสียหายไม่ยอม จำเลยที่
๒ เอามือรัดคอผู้เสียหายและดึงเอากุญแจรกให้กับจำเลยที่ ๑ ซึ่งนั่งคร่อมรถอยู่
เมื่อมีคนผ่านมาจำเลยทั้งสองก็เอารถจักรยานยนต์ไปโดยบอกผู้เสียหายว่าให้ไปเอาคืนที่โรงเรียนแสดงให้เห็นว่าจำเลยทั้งสองเพียงต้องการเอารถจักรยานยนต์ไปใช้เพีบงชั่วคราวโดยตั้งใจจะคืนให้ภายหลัง
ไม่ได้กระทำเพื่อตัดกรรมสิทธิ์ตลอดไป จึงไม่ใช่เป็นการกระทำที่ถือว่าเอาทรัพย์ของผู้เสียหายไปอันเป็นความผิดฐานลักทรัพย์
จำเลยทั้งสองก็ไม่มีความผิดฐานชิงทรัพย์ด้วย
เอาทรัพย์ของผู้อื่นไปโดยวิสาสะในความเป็นญาติ ไม่มีเจตนาทุจริต
ไม่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์
จากแนวคำพิพากษาของศาลไทยดังกล่าวข้างต้นเห็นได้ว่า
หากผู้กระทำความผิดได้เอาทรัพย์นั้นไปในลักษณะเป็นการตักรรมสิทธิ์ คือมีเจตนาเอาทรัพย์ไปแล้วนำมาคืนให้ในภายหลัง
หรือเป็นการเอาทรัพย์นั้นไปโดยถือวิสาสะแล้ว ย่อมไม่มีความผิดฐานลักทรัพย์
เพราะความผิดฐานลักทรัพย์นั้น ต้องเป็นการเอาทรัพย์ของผู้อื่นหรือทรัพย์ที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปในลักษณะที่ตัดกรรมสิทธิ์ของเจ้าของ
หรือผู้ที่ครอบครองทรัพย์นั้นอยู่
๒.ความผิดฐานลักทรัพย์ตามกฏหมายต่างประเทศ
จากกรณีความผิดฐานลักทรัพย์ตามกฏหมายไทยดังที่กล่าวไว้ในหัวข้อที่
๑ นั้นการเอาทรัพย์โดยเฉพาะการเอารถหรือย่นพาหนะของผู้อื่นไปใช้โดยมิชอบนั้นไม่ถือเป็นความผิดฐานลักทรัพย์
และไม่มีความผิดตามประมวลกฏหมายอาญา แต่ในทางกฏหมายอาญาต่างประเทศ ยกตัวแอย่างเช่น
ในสหรัฐอเมริกฟการเอารถหรือยานพาหนะของหูอื่นไปใช้โดยมิชอบนั้นถือเป็นการก่อให้เกิดความเสียหายและกระทบกระเทือนต่อความสงบสุขส่วนรวมฟจึงสมควรที่จะใช้มาตราทางอาญาเข้ามา
จัดการกับผู้ที่กระทำความผิดดังกล่าว89 ซึ่งในสหรัฐอเมริกาได้มีการบัญญัติกฏหมายขึ้นเพื่อลงโทษผู้ที่นำรถหรือยานพาหนะของผู้อื่นไปใช้โดยมิชอบฟและในขณะเดียวกันถือได้ว่าเป็นการปรามผู้ที่จะกระทำละเมิดต่อกฏหมายดังกล่าวด้วยไปในตัว90aดังปรากฏในประมวลกฏหมายอาญาของสหรัฐอเมริกา
มาตรา ๒๒๓.๙ (Model penal code, Article ๒๒๓.๙)
“บุคคลถือว่าได้กระทำความผิดอาญาที่โทษเบาหรือความผิดลหุโทษ
เพือได้นำไปซึ่งรถยนต์ เครื่องบิน มอเตอร์ไซค์
เรือยนต์หรือยานพาหนะอันเดินด้วยกำลังเครื่องจักรกล โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของ
ข้อต่อสู้ที่จำเลยยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้คำกล่าวหาของโจทก์
ในการพิจารณาคดีภายใต้มาตราดังกล่าว คือ ผู้กระทำเชื่อว่า
เจ้าของทรัพย์จะให้ความยินยอมหากว่าเขาได้รู้ถึงการกระทำนั้น”91
สรุป
จากบทบัญญัติตีความผิดฐานลักทรัพย์ตามกฏหมายอาญาของประเทศไทยและสหรัฐอเมริกา
จะเห็นได้ว่าในประเทศสหรัฐอเมริกานั้น
ได้มีการบัญญัติฐานความผิกขึ้นมาเป็นพิเศษเพื่อนำมาใช้ในกรณีของการนำรถหรือยานพาหนะของผู้อื่นไปใช้โดยมิชอบฟโดยกำหนดเป็นความผิดที่มีโทษไม่ร้ายแรงหรือเป็นความผิดลหุโทษ
ส่วนในประเทศไทยนั้น
ยังไม่มีบทบัญญัติของกฏหมายที่จะลงโทษการกระทำดังกล่าวเหมือนกฏหมายขงสหรัฐอเมริกา
แต่ผู้เขียนเห็นว่า
ปัญหาการนำรถหรือยานพาหนะขอวผู้อื่นไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาติหรือว่าโดยมิชอบนั้น
มีแนวโน้มว่าจะเกิดมากขึ้นเพราะมีเหตุปัจจัยหลายอย่างที่เอื้อต่อการกระทำเช่นนั้น
และการวินิจฉัยความผิดฐานลักทรัพย์ตามแนวคำพิพากษาฎีกาของไทยที่ได้ยกตัวอย่างมาข้างต้นอาจก่อให้เกิดปัญหาอีกประการหนึ่งคือ
ผู้ที่กระทำความผิดฐานลักทรัพย์ของผู้อื่นอาจนำมาอ้างเป็นข้อแก้ตัวว่า ไม่ได้มีเจตนาที่จะเอารถหรือยานพาหนะของผู้อื่นไปโดยทุจริต
เพียงแต่หยิบยืมหรือถือวิสาสะเอาไปขับเล่น หรือเอาไปทำธุระเสร็จแล้วจะนำมาคืน
เพื่อให้ตนเองนั้นพ้นจาความผิดฐานลักทรัพย์
ดังนี้
ผู้เขียนเห็นว่านักกฏหมายมีหน้าที่
ที่จะมองปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบันและอาจจะเกิดขึ้นในอนาคตฟเพื่อหาทางป้องกันและแก้ไขปัญหาอย่างทันท่วงทีเพื่อให้สังคมมีความเป็นระเบียบเรีบยร้อยอยู่รวมกันอย่างสงบสุข
เราจึงควรนำประเด็นปัญหาทางกฏหมายที่ได้นำเสนอในบทความนี้มาพิจารณาว่าฟประเทศไทยควรปรับปรุงแก้ไขกฏหมายอาญาโดยบัญญัติให้มีความรับผิดทางอาญากรณีนำเอาทรัพย์ของผู้อื่นไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เช่นเดียวกับสหรัฐอเมริกาต่อไปในอนาคตหรือไม่
85เฉลิมวุฒิ
สาระกิจ,
(น.บ.เกียรตินิยมอันดับ ๑ ), (เนติบัณฑิตไทย), อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา.
88ประมวลกฏหมายอาญามาตรา
๓๔๒ “ผู้ใดครอบครองทรัพย์ซึ่งเป็นของผู้อื่น
หรือซึ่งผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย เบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือบุคคล
ที่สามโดยทุจริต ผู้นั้นกระทำความผิดฐานยักยอกทรัพย์ ต้องระวังโทษ
จำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ถ้าทรัพย์นั้นได้ตกอยู่ในความครอบครองของผู้กระทำความผิด
เพราะผู้อื้นส่งมอบให้โดยสำคัญผิดไปด้วยประการใด
หรือเป็นทรัพย์สินหายซึ่งผู้กระทำคว่มผิดเก็บได้ ผู้กระทำต้องระวังโทษแค่เพียง
กึ่งหนึ่ง”.
89อุไรวรรณaอุดมวัฒนกุล,ความผิดฐานลักทรัพย์,ศึกษากรณีเอายานพาหนะของผู้อื่นไปใช้โดยมิชอบ,วิทยานิพนธ์
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พ.ศ. ๒๕๓๑
91 The Model Penal
Code Article ๒ ๒ ๓ .๙. Unauthorized Use of Automobiles
anther Vehicles.
"A personacommitsaaamisdemeanoraifaheaoperatesaanother's
automobile,airplane,motorcyde,motorboot,or othermtor-propelled vehicle without
consent of the ower.it is an affirmative defense to prosecution under this
Section that theater reasonably believed that the owner would have consented to
the operation had known of it."
No comments:
Post a Comment