Saturday, 17 December 2016

บทที่ 1 หลักการดำเนินคดีอาญา

                เมื่อมีการกระทำความผิดอาญาเกิดขึ้น และการกระทำนั้นครบองค์ประกอบความผิดอาญาแล้ว ผู้นั้นย่อมมีความผิดและต้องถูกดำเนินคดี โดยเจ้าหน้าที่ของรัฐจะเป็นผู้เริ่มดำเนินคดีกับผู้ที่ได้การทำความผิดทุกกรณี โดยจะมีผู้ร้องทุกข์หรือไม่[1] ก็ต้องทำการสอบสวนฟ้องร้องผู้ที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดและเข้าสู่กระบวนยุติธรรมทางอาญา โดยเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการต่างนั้น ไม่สามารที่จะใช้ดุลพินิจไปในทางอื่นได้ ต้องปฏิบัติตามขั้นตอนและวิธีการที่กฎหมายได้กำหนดไว้เท่านั้น และเมื่อฟ้องคดีต่อศาลแล้วอัยการจะถอนฟ้องคดีผู้นั้นต่อศาลไม่ได้ จะต้องดำเนินคดีจนกว่าคดีจะสิ้นสุด[2] ซึ่งเป็นหลักประกันความเท่าเทียมกันทางกฎหมายของประชาชน ว่าเมื่อใดก็ตาม หากมีการกระทำความผิดเกิดขึ้น แล้วประชาชนที่ได้กระทำความผิดนั้นจะต้องถูกดำเนินคดีและเข้าสู่กระบวนยุติธรรมอย่างเดียวกัน  และการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐต้องดำเนินคดีกับผู้ที่กระทำความผิดทุกกรณีนั้นยังเป็นการป้องกันการใช้อิทธิพลเพื่อแทรกแซงการดำเนินคดีของเจ้าหน้าที่รัฐและกระบวนยุติธรรมด้วย และเมื่อเข้าสู่กระบวนยุติธรรมแล้ว ย่อมไม่อาจจะยุติการดำเนินคดีได้ เพราะถือว่าคดีได้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมแล้วตาม “หลักเปลี่ยนแปลงมิได้” ซึ่งถือเป็นหลักประกันในทางอาญา และเมื่อพิจารณาตามหลักการดำเนินคดีอาญาตามกฎหมาย(Legality Principles) แล้วจะเห็นว่ามาจากแนวคิดทฤษฎีแก้แค้น ซึ่งเปรียบเสมือนการดำเนินคดีอาญาของรัฐนั้นเปรียบเสมือนเป็นการแก้แค้นทดแทน ผู้ที่ได้กระทำความผิดแทนผู้เสียหาย
                หลักการดำเนินคดีอาญาตามกฎหมาย(Legality Principles) นั้นถือว่าเป็นหลักประกันความเสมอภาคให้กับประชาชนทุกคน หากมีการกระทำครบองค์ประกอบความผิดอาญาแล้ว ผู้นั้นต้องถูกดำเนินคดีไม่ว่าจะกระทำความผิดด้วยเหตุใดก็ตาม ดังนั้นทำให้ตัดปัญหาเรื่องการใช้อิทธิพลในการเข้าแทรกแซงกระบวนยุติธรรม เพราะเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องกับกระบวนยุติธรรมก่อนจะถึงชั้นศาลไม่อาจจะใช้ดุลยพินิจในการไม่ดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดในคดีที่มีมูลได้ แต่หลักการดำเนินคดีอาญาตามกฎหมายนั้นมีข้อเสีย คือ ไม่มีการกลั่นกรองคดีที่ขึ้นสู่ศาลทำให้มีประมาณที่ขึ้นสู่ศาลมีจำนวนมาก และเป็นการฟ้องคดีตามกฎหมายนั้นทำให้อัยการไม่มีบทบาทสำคัญในการดำเนินคดี จะมีหน้าที่เพียงแต่เป็นผู้นำจำเลยฟ้องคดีต่อศาลเท่านั้น และเป็นการดำเนินคดีที่แข็งกระด้างเกินไปทำให้การดำเนินคดีอาญานั้นไม่ยืดหยุ่นและอาจไม่เหมาะสมกับสภาวะทางสังคม

                หลักการดำเนินตามดุลพินิจนั้น เป็นหลักที่ตรงกันข้ามกับหลักการดำเนินคดีอาญาตามกฎหมาย ซึ่งให้อำนาจเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในกระบวนการยุติธรรม โดยเฉพาะอัยการสามารถใช้ดุลยพินิจในการไม่ดำเนินคดีอาญาที่มีมูล ซึ่งปรากฏตามการสอบสวนและพยานหลักฐานว่าจำเลยได้กระทำความผิด หรือมีมูลว่าน่าจะกระทำความผิด ซึ่งอัยการสามารถใช้ดุลยพินิจเป็นคดีๆ ไป โดยพิจารณาจากข้อเท็จจริงในแต่ละเรื่อง หากมีเหตุที่ไม่สมควรจะฟ้องผู้ต้องหารายนั้นต่อศาล  เช่น อายุ บุคลิกภาพลักษณะ สภาพแวดล้อมของผู้กระทำผิดและองค์ประกอบอื่น ๆ ซึ่งทำให้อัยการสามารถที่จะใช้ดุลพินิจในการสั่งไม่ฟ้องคดีกับผู้ต้องหารายนั้นได้ และจากหลักการดำเนินคดีอาญาตามดุลยพินิจนี้แม้อัยการจะได้ฟ้องคดีอาญาต่อศาลแล้ว หากเห็นว่าไม่ควรจะดำเนินคดีอาญากับจำเลยนั้นอีกต่อไป อัยการก็สามารถถอนฟ้องคดีนั้นจากศาลได้[3]           
                เนื่องจากการดำเนินคดีตามกฎหมายนั้นเป็นการเข้มงวดเกินไป ไม่เปิดโอกาสให้มีการกลั่นกรองคดีที่จะขึ้นสู่ศาล การที่เปิดโอกาสให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในกระบวนยุติธรรมทางอาญา โดยเฉพาะการเปิดโอกาสให้อัยการสามารถใช้ดุลยพินิจสั่งไม่ฟ้องคดีมีมูลได้นั้น เป็นการคลายความเข้มงวดของการดำเนินคดีตามกฎหมาย ซึ่งเป็นไปตามทฤษฎีการลงโทษในปัจจุบันที่ได้เปลี่ยนแปลงไป จากการลงโทษที่มุ่งแก้แค้นทดแทน ซึ่งเรียกว่า “ทฤษฎีแก้แค้น (retributive theory) มาเป็นการลงโทษโดยมุ่งเพื่อ”การป้องกันทั่วไป”(General Prevention)[4] กล่าวคือ การลงโทษควรกระทำเพื่อให้ผู้กระทำความผิดเห็นว่าสังคมส่วนใหญ่ไม่ได้นิ่งดูดายกับการกระทำความผิดอันนั้น และเป็นการเตือนบุคคลที่ยังไม่ได้กระทำความผิดให้ตระหนักว่าหากเขาได้กระทำความผิด เขาอาจะจะต้องถูกดำเนินคดี และการลงโทษยังต้องเหมาะสมกับการกระทำความผิดและความชั่วของผู้กระทำเพื่อเปิดโอกาสให้เขาได้ปรับปรุงแก้ไขพฤติกรรมที่ไม่ดีนั้นกลับตัวกลับใจไม่กระทำความผิดต่อไป ซึ่งเป็นการลงโทษโดยมีจุดประสงค์เฉพาะ “การป้องกันพิเศษ” (Special Prevention) 
ข้อดีของการฟ้องคดีของอัยการที่สามารถใช้ดุลพินิจในการดำเนินคดีอาญาได้อย่างยืดหยุ่น เพื่อปรับให้เข้ากับสภาพสังคมแลเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไป[5] ทำให้อัยการสามารถที่จะกลั่นกรองคดีอาญาก่อนขึ้นสู่ศาลได้ หากคดีใดอัยการเห็นว่าการไม่ฟ้องคดีอาญาเรื่องนั้นจะเป็นประโยชน์ต่อสังคมมากกว่า ก็จะช่วยกั่นกรองคดีที่ไม่สมควรจะเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของศาล ช่วยให้คดีอาญาไม่ล้นศาล และการสั่งไม่ฟ้องคดีมีมูลของอัยการยังสามารถนำมาปรับใช้กับการแก้ปัญหาสังคม โดยเฉพาะคดีอาญาที่เกิดจากความขัดแย้งทางการเมือง ที่ต่างฝ่ายต่างอาศัยกฎหมายอาญาเพื่อโจมตีอีกฝ่ายหนึ่ง และคดีความผิดทางการเมืองนั้น ซึ่งผู้กระทำความผิดมีความแต่ต่างจากผู้กระทำความผิดอาญาทั่วไป อัยการสามารถใช้ดุลพินิจในการสั่งไม่ฟ้องคดีความผิดอาญาทางการเมืองที่มีมูลได้

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์มีความแตกต่างกับกฎหมายอาญาในหลาย ๆ เรื่อง ทั้งแนวความคิดและหลักการของกฎหมาย โดยเฉพาะกฎหมายทั้งสองประเภทมีวัตถุประสงค์ทางกฎหมายที่แตกต่างกัน แต่บางครั้งกฎหมายอาญาก็มีความเกี่ยวข้องกับกฎหมายแพ่งและพาณิชย์อยู่บ้าง เพราะความผิดอาญาบางฐานที่ผู้เสียหาย อาจเรียกค่าสินไหมทดแทนจากผู้กระทำความผิดได้ เช่น เมื่อถูกคนขับรถชนด้วยความประมาท ถูกวางเพลิงเผาทรัพย์ จะเห็นว่าการกระทำผิดดังกล่าวนอกจากจะผิดกฎหมายอาญาแล้ว ยังเป็นถือเป็นการทำละเมิดต่อผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ อันก่อให้เกิดสิทธิแก่ผู้เสียหายในการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนอีกด้วย





                ความผิดอาญาอันยอมความไม่ได้ หรือความผิดอาญาแผ่นดิน  หมายถึงคดีอาญาประเภทที่นอกจากจะทำให้เกิดความ เสียหายแก่ผู้เสียหายโดยตรงแล้ว  ยังก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐและสังคมโดยส่วนรวมอีกด้วย ความผิดอาญานอกจากที่กฎหมายระบุไว้ชัดเจนว่าเป็นความผิดอันยอมความ ได้แล้ว จะเป็นความผิดอาญาแผ่นดินทั้งสิ้น เช่น  ความผิดฐานลักทรัพย์  วิ่งราวทรัพย์  ชิงทรัพย์  ปล้นทรัพย์ ทำร้ายร่างกาย  ฆ่าคนอื่น วางเพลิงเผาทรัพย์  ขับรถประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย  เป็นต้น ซึ่งความผิดอาญาแผ่นดินนี้  แม้ผู้เสียหายไม่ติดใจดำเนินคดีกับผู้กระทำผิด ก็ไม่ทำให้คดีอาญานั้นระงับไป รัฐสามารถดำเนินกับคดีกับผู้กระทำผิดต่อไปได้ โดยที่ผู้เสียหายไม่จำเป็นต้องร้องทุกข์ก่อนแต่อย่างใด และความผิดอันยอมความไม่ได้นี้กฎหมายไม่ได้เปิดช่องให้มีการไกล่เกลี่ยหรือยอมความกันได้เลย
          คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา หมายถึง “คดีแพ่งที่ฟ้องบังคับตามสิทธิเรียกร้องอันมีมูลฐานความรับผิดเนื่องมาจากการกระทำความผิดทางอาญา” ซึ่งหมายความว่าการกระทำความผิดอาญาฐานใดฐานหนึ่งแก่ผู้เสียหาย เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายผู้เสียหายจึงมีสิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากการกระทำความผิดนั้น เช่น นายแดงขับรถชนนายดำ จนนายดำได้รับบาดเจ็บสาหัส ในคดีอาญานายแดงย่อมมีความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บสาหัส ส่วนในทางแพ่งการที่แดงขับรถชนดำด้วยความประมาทเป็นการละเมิดจำต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น จะเห็นได้ว่าสิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนนั้นมีมูลมาจากการที่นายแดงกระทำความผิดต่อนายดำนั้นเอง


กฎหมายอาญานั้นเมื่อความผิดอาญาได้เกิดขึ้นรัฐสามารถใช้อำนาจตามกฎหมายได้ทันที ไม่จำต้องไปฟ้องคดีให้ศาลตัดสินก่อน ซึ่งแตกต่างจากการดำเนินคดีแพ่งที่จะบังคับคดีได้ก็ต่อเมื่อศาลมีคำพิพากษาแล้วเท่านั้น เช่น นายแดงกำลังทำร้ายร่างกายนายดำอยู่ ตำรวจสามารถจับนายแดงได้ทันที่ ไม่ต้องไปฟ้องศาลก่อน แต่การจะลงโทษนายแดงตามกฎหมายได้นั้นต้องผ่านกระบวนการพิสูจน์ว่าผู้กระทำความผิดนั้นเป็นผู้ที่ได้กระทำความผิดจริงตามขั้นตอนตามกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาเสียก่อน โดยหลักการดำเนินคดีอาญานั้น ต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยนั้นเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะแน่ใจว่าจำเลยได้กระทำความผิดจริง ซึ่งมีขั้นตอนการดำเนินคดีดังต่อไปนี้



                โดยการฟ้องคดีอาญาโดยผู้เสียหายนั้นกฎหมายกำหนดให้ศาลต้องไต่สวนมูลฟ้องก่อนที่จะรับฟ้องไว้พิจารณาเสมอ ซึ่งแตกต่างจากคดีอาญาที่พนักงานอัยการเป็นผู้ฟ้องคดี (การฟ้องคดีอาญาโดยรัฐ) ที่ศาลไม่จำต้องไต่สวนมูลฟ้องก่อน ศาลสามารถรับฟ้องไว้พิจารณาได้เลย อยู่ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 165 วรรคท้าย ในคดีราษฎรเป็นโจทก์ ศาลมีอำนาจไต่สวนมูลฟ้องลับหลังจำเลย ให้ศาลส่งสำเนาฟ้องแก่จำเลยรายตัวไป กับแจ้งวันนัดไต่สวนให้จำเลยทราบจำเลยจะมาฟังการไต่สวนมูลฟ้อง โดยตั้งทนายให้ซักค้านพยานโจทก์ด้วยหรือไม่ก็ได้ หรือจำเลยจะไม่มาแต่ตั้งทนายมาซักค้านพยานโจทก์ก็ได้ ห้ามมิให้ศาลถามคำให้การจำเลยและก่อนที่ศาลประทับฟ้องมิให้ถือว่าจำเลยอยู่ในฐานะเช่นนั้น
เมื่อมีการร้องทุกข์กล่าวโทษแล้วขั้นตอนต่อไปคือการสอบสวน ในการดำเนินคดีอาญาโดยรัฐนั้นกฎหมายห้ามไม่ให้พนักงานอัยการฟ้องคดีหากคดีนั้นไม่ได้มีการสอบสวนโดยชอบ ซึ่งแตกต่างจากการฟ้องคดีอาญาโดยเอกชนผู้เสียหายที่ไม่จำต้องมีการสอบสวนก่อน เอกชนผู้เสียหายสามารถฟ้องคดีต่อศาลได้ทันที แต่คดีอาญาที่ผู้เสียฟ้องเองนั้นต้องมีการไต่สวนมูลฟ้องเสมอทั้งนี้เพื่อเป็นการกลั่นกรองคดีที่จะเข้าสู่การพิจารณาคดีของศาล โดยผู้ที่มีอำนาจทำการสอบสวนคือพนักงานสอบสวน การสอบสวนนั้นคือการที่พนักงานสอบสวนได้รวบรวมหลักฐานทุกชนิด เท่าที่สามารถจะทำได้ เพื่อประสงค์จะทราบข้อเท็จจริงและพฤติการณ์ต่าง ๆ อันเกี่ยวกับความผิดที่ถูกกล่าวหา เพื่อจะรู้ตัวผู้กระทำผิดและพิสูจน์ให้เห็นความผิดหรือความบริสุทธิ์ของผู้ต้องหา
การดำเนินการในชั้นสอบสวนนั้นพนักงานสอบสวนจะต้องทำการแจ้งข้อหาให้แก่ผู้ต้องหาได้ทราบว่าเขาทำผิดข้อหาอะไร และจะต้องแจ้งสิทธิต่าง ๆ ตามกฎหมายให้แก่ผู้ต้องหาทราบด้วยเช่นกัน เช่น สิทธิที่จะไม่ให้การใด ๆ เลยก็ได้ สิทธิในการมีทนายความหากผู้ต้องหาไม่มีทนายความรัฐก็ต้องจัดหาให้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย รวมถึงการได้รับการปล่อยชั่วคราวในระหว่างการสอบสวน ในกรณีที่มีความจำเป็นจะต้องควบคุมผู้ต้องหาไว้เพื่อทำการสอบสวนต้องเป็นกรณีที่มีความจำเป็นต่อการดำเนินคดี ทั้งนี้เพื่อให้ผู้ต้องหานั้นได้มีสิทธิในการต่อสู่คดีได้อย่างเต็มที่
การสั่งคดีเป็นอำนาจหน้าที่ของพนักงานอัยการซึ่งทำหน้าที่ในฐานะที่เป็นทนายความแผ่นดิน ดำเนินคดีในชั้นศาลแทนรัฐ การสั่งคดี คือ การที่พนักงานอัยการใช้ดุลพินิจการสั่งคดีอาญาว่าคดีอาญาที่เกิดขึ้นนั้นมีมูลที่จะฟ้องร้องต่อศาลต่อไปหรือไม่ โดยพิจารณาจากสำนวนการสอบสวนที่พนักงายสอบสวนได้ส่งมา พร้อมพยานหลักฐานที่รวบรวมมาทั้งหมด หากพนักงานอัยกาเห็นว่าคดีอาญานั้นไม่มีมูลที่จะฟ้องร้อง(เห็นว่าผู้ต้องหาไม่ได้ทำผิด) พนักงานอัยการอาจมีคำสั่งไม่ฟ้องหรือสั่งให้พนักงานสอบสวนทำการสอบสวนเพิ่มเติมได้ หรือหากว่าพนักงานอัยการเห็นว่าตามสำนวนการสอบสวนและพยานหลักฐานนั้นเป็นที่เชื่อได้ว่าผู้ต้องหาได้กระทำผิดจริง ก็มีคำสั่งฟ้องคดีและนำตัวผู้ต้องหาไปส่งฟ้องยังศาลที่มีเขตอำนาจต่อไป


          เมื่อคดีที่พนักงานอัยการยื่นฟ้องผู้ต้องหาต่อศาลแล้ว หรือในคดีที่เอกชนผู้เสียหายยื่นฟ้องต่อศาลและศาลได้ไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่าคดีมีมูล จึงมีประทับรับฟ้องไว้พิจารณา ถือได้ว่าคดีอาญานั้นเข้าสู่การพิจารณาของศาลแล้ว การพิจารณาคดีอาญาในศาลนั้นต้องเป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา โดยที่การค้นหาความจริงในคดีเป็นเรื่องของคู่ความ(โจทก์และจำเลย) โดยที่ศาลวางตัวเป็นกลางคอยทำหน้าที่ไม่ให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งผิดกติกา ซึ่งมีลักษณะเป็นการพิจารณาคดีในระบบกล่าวหา ซึ่งแยกขั้นตอนในชั้นศาลออกเป็น 2 ขั้นตอน คือ ขั้นตอนของการพิจารณา(สืบพยาน) และขั้นตอนของการทำคำพิพากษา
การพิจารณาและสืบพยานในศาลจะต้องให้ทำโดยเปิดเผย หมายความว่า ประชาชนโดยทั่วไปสามารถเข้าไปฟังการพิจารณาคดีอาญาของศาลได้ ทั้งนี้เพื่อให้ประชาชนสามารถตรวจสอบการพิจารณาของศาลว่าเป็นไปโดยยุติธรรมหรือไม่ และการสืบพยานจะต้องกระทำต่อหน้าจำเลยด้วย ทั้งนี้เพื่อให้จำเลยสามารถต่อสู้คดีได้อย่างเต็มที่ เพราะหากจำเลยไม่ทราบว่าพยานการซัดทอดตนอย่างไร อาจทำให้เสียเปรียบในการสู้คดีได้ เว้นแต่ความผิดบางฐานคามผิดเท่านั้นที่ศาลอาจมีคำสั่งให้พิจารณาเป็นการลับได้ เช่น คดีเกี่ยวกับความมั่นคงของรัฐ ความผิดเกี่ยวกับเพศที่ต้องรักษาไว้ซึ่งชื่อเสียงเกียรติยศของผู้เสียหาย เป็นต้น
การพิจารณาคดีที่จำเลยให้การรับสารภาพ หมายถึง คดีนั้นเมื่อศาลได้อ่านและอธิบายฟ้องให้จำเลยฟังแล้ว จำเลยให้การรับสารภาพว่าได้กระทำความผิดจริงตามฟ้อง ศาลอาจไม่ต้องพิจารณาสืบพยานในคดีนั้นอีกต่อไปอีกก็ได้ ซึ่งเป็นไปตาม บทบัญญัติในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 176 “ในชั้นพิจารณา ถ้าจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง ศาลจะพิพากษาโดยไม่สืบพยานหลักฐานต่อไปก็ได้ เว้นแต่คดีที่มีข้อหาในความผิดซึ่งจำเลยรับสารภาพนั้น กฎหมายกำหนดอัตราโทษอย่างต่ำไว้ให้จำคุกตั้งแต่ห้าปีขึ้นไปหรือโทษสถานที่หนักกว่านั้น ศาลต้องฟังพยานโจทก์จนกว่าจะพอใจว่าจำเลยได้กระทำผิดจริง                  





ข้อสอบปรนับกฎหมายอาญา กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา กฎหมายลักษณะพยาน เหมาะสำหรับคนที่กำลังจะสอบตำรวจทั้งนายสิบตำรวจ นายตำรวจสัญญาบัตร ผมจะทยอยออกข้อสอบให้ครอบคลุมเนื้อหาที่ใช้สอบทั้งหมดนะครับ ลักษณะข้อสอบจะถามทีละเรื่องเพื่อเน้นให้ผู้ทำเข้าใจกฎหมายไปทีละเรื่อง สนับสนุนหรือให้กำลังใจผู้เขียนได้โดยการซื้อหนังสือของผู้เขียนตามลิ้งด้านล่างครับ ขอบคุณทุกท่าน


กฎหมายอาญาสำหรับตำรวจ
chaloemwut sarakit
www.mebmarket.com
เหมาะสำหรับคนที่จะสอบตำรวจ ทั้งนายสิบตำรวจและนายตำรวจสัญญาบัตร และประชาชนทั่วไปที่สนใจกฎหมายอาญา


No comments:

Post a Comment