ผู้มีสิทธิยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยให้ค่าสินไหมทดแทน ตาม ป.วิ.อาญา ม.44/1
ในการกระทำความผิดอาญาบางฐานความผิด
อาจเป็นเหตุให้ผู้กระทำผิดนั้นเกิดความรับผิดทางอาญาขึ้นและในขณะเดียวกันก็มีความรับผิดทางแพ่งด้วย
ซึ่งผู้กระทำความผิดจำต้องรับโทษในทางอาญา และก็ต้องรับผิดอันเป็นการละเมิดทางแพ่งต่อผู้เสียหายอีกด้วย
คดีที่เป็นความผิดทางอาญาและก่อให้เกิดสิทธิเรียกร้องทางแพ่งนี้เราเรียกว่า “คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องคดีอาญา”
พิจารณาตัวอย่าง
นายแดงได้ลักรถยนต์ของนายดำ
ไปขายที่ชายแดนพม่า เมื่อนายแดงเอารถยนต์ที่ลักมาได้ข้ามไปขายยังฝั่งพม่า ขากลับนายแดงถูกตำรวจจับได้
ดังนี้
นายดำย่อมเป็นผู้เสียหาย ตาม ป.วิอาญา ม.2(4) ในความผิดฐานลักทรัพย์
และการกระทำความผิดของนายแดงนอกจากเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ในทางอาญาแล้ว
ยังเป็นการทำละเมิดต่อนายดำ อันก่อให้เกิดสิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนแก่นายดำอีกด้วย
คดีลักทรัพย์จึงเป็น “คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา”
นายดำย่อมมีสิทธิในการดำเนินดคีอาญาและแพ่งไปพร้อมกันได้ ตาม ป.วิอาญา ม.40
เช่น
หากนายดำได้ไปร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนว่ารถได้ถูกคนร้ายลักไป พนักงานสอบสอบได้ทำการสอบสวนจนจับกุมนายแดงได้
อัยการได้ฟ้องนายแดงต่อศาลในความผิดฐานลักทรัพย์ ซึ่งเป็นคดีที่ผู้เสียหายมีสิทธิจะเรียกทรัพย์สินคืนหรือราคาที่เขาสูญไปเนื่องจากการกระทำผิดคืน
เมื่อพนักงานอัยการยื่นฟ้องคดีอาญา ก็ให้เรียกทรัพย์สินหรือราคาแทนผู้เสียหายด้วย
ตาม ป.วิอาญา ม.43 และหากนายดำได้รับบาดเจ็บต้องเสียค่ารักษาพยาบาลรวมถึงค่าเสียหายในทางทรัพย์สิน
นายดำมีสิทธิที่จะยื่นคำร้องขอให้ศาลบังคับให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ตน ตาม
ป.วิอาญา ม.44/1 อีกด้วย
แต่หากปรากฎว่า
นายดำได้ทำประกันภัยชั้น 1 ไว้กับ บ.ปลอดภัยประกันภัย ซึ่งคุ้มครองกรณีรถที่เอประกันไว้หายเนื่องจากถูกขโมยด้วย
เมื่อรถนายดำถูกขโมย นายดำจึงเรียกร้องให้ผู้รับประกันภัยชดใช้เงินตามสัญญาประกันภัย
เมื่อ บ.ปลอดภัยประกันภัย ได้ชดใช้เงินตามสัญญาประกันภัยไปแล้ว ย่อมรับช่วงสิทธิของนายดำในการฟ้องร้องเรียกค่าสินไหมทดแทนจากนายแดงผู้ทำละเมิด
มีปัญหาว่า
เมื่อพนักงานอัยการฟ้องนายแดงต่อศาลในความผิดฐานลักทรัพย์ บ.ปลอดภัยประกันภัยซึ่งได้รับช่วงสิทธิมาจากนายดำผู้เสียหายในความผิดฐานลักทรัพย์
จะยื่นคำร้องให้ศาลที่พิจารณาคดีอาญาขอให้บังคับจำเลยให้ค่าสินไหมทดแทนแก่ตน ตาม
ป.วิอาญา ม. 44/1 ได้หรือไม่
มาตรา
44/1 ในคดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์
ถ้าผู้เสียหายมีสิทธิที่จะเรียกเอาค่าสินไหมทด แทนเพราะเหตุได้รับอันตรายแก่ชีวิต
ร่างกาย จิตใจ หรือได้รับความเสื่อมเสียต่อเสรีภาพในร่างกายชื่อเสียง
หรือได้รับความเสียหายในทางทรัพย์สินอันเนื่องมาจากการกระทำความผิดของจำเลย
ผู้เสียหายจะยื่นคำร้องต่อศาลที่พิจารณาคดีอาญาขอให้บังคับจำเลยให้ค่าสินไหมทดแทนแก่ตนก็ได้
ในประเด็นนี้ศาลได้วินิจฉัยไว้ดังนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่
880/2555 จำเลยลักรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายที่ 2 ขณะอยู่ในความครอบครองของผู้เสียหายที่
1
ผู้เสียหายทั้งสองจึงเป็นบุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์
เป็นผู้เสียหายตามความหมายแห่ง ป.วิ.อ. มาตรา 2 (4) และมีสิทธิเรียกร้องทรัพย์สินคือรถยนต์หรือราคารถยนต์ที่ผู้เสียหายสูญเสียไปเนื่องจากการกระทำผิดดังกล่าวคืนได้
แต่ผู้ร้องซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์ของผู้เสียหายที่ 2
มิใช่ผู้ได้รับความเสียหายเนื่องมาจากการกระทำผิดฐานลักทรัพย์ของจำเลยโดยตรง
เพียงแต่อ้างสิทธิในฐานะผู้รับประกันภัยรถยนต์ที่ถูกจำเลยลักไป ซึ่งได้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เสียหายที่
2 ผู้รับประโยชน์ตามสัญญาประกันภัยและมาใช้สิทธิไล่เบี้ยเอาจากจำเลยเท่านั้น
ความเสียหายของผู้ร้องที่อ้างว่าได้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนไปนั้นจึงเกิดขึ้นจากความรับผิดตามสัญญาประกันภัย
มิใช่เกิดจากการกระทำผิดฐานลักทรัพย์ซึ่งเป็นการกระทำละเมิดของจำเลย
ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้ร้องได้
เพราะฉะนั้น
ผู้เสียหายที่จะมีสิทธิยื่นคำร้องให้ศาลที่พิจารณาคดีอาญาขอให้บังคับจำเลยให้ค่าสินไหมทดแทนแก่ตน
ตาม ป.วิอาญา ม. 44/1 นั้นหมายถึง ผู้เสียหายตาม ป.วิอาญา ม.2(4)
รวมถึงผู้มีอำนาจจัดการทานตาม ม.4, ม.5และ ม.6 เท่านั้น
...............................................
เฉลิมวุฒิ สาระกิจ
อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา
No comments:
Post a Comment