Wednesday, 11 December 2013

การค้นโดยมีเหตุอันควรสงสัย


แนะนำหนังสือผู้เขียน

การค้นโดยมีเหตุอันควรสงสัย
โดยเฉลิมวุฒิ สาระกิจ
อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา

            ในทางอาญาถือว่าการค้นเป็นวิธีการหนึ่งที่นำมาใช้เพื่อปราบปรามและป้องกันอาชญากรรม ซึ่งรัฐจะให้อำนาจแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐ เช่น ตำรวจมีอำนาจในการค้นเพื่อเป็นการปราบปรามการกระทำผิด เช่น เมื่อมีผู้กระทำผิดแล้วหลบหนีไป ตำรวจสงสัยว่าจะเข้าไปหลบในบ้านญาติหลังหนึ่ง มีความจำเป็นที่จะต้องเข้าไปค้นเพื่อจับกุมผู้กระทำผิดมาดำเนินคดี หรือในกรณีที่มีเหตุอันเชื่อว่ามียาเสพติดอยู่ในบ้านหลังหนึ่ง ซึ่งขบวนการค้านบาเสพติดได้นำมาพักไว้เพื่อเตรียมส่งไปขายยังต่างประเทศ การค้นเพื่อจับกุมการค้ายาเสพติดและค้นเพื่อหาของกลางที่จะนำมาเป็นพยานหลักฐานจึงมีความจำเป็น การให้อำนาจในการค้นแก่ตำรวจหรือองค์กรอื่นที่มีกฎหมายให้อำนาจ ถือเป็นการดำเนินการควบคุมอาชญากรรม ตามหลักของ Crime Control ยิ่งรัฐให้อำนาจการค้นมากเท่าไหร่ ประสิทธิภาพในการปรามปรามและป้องกันอาชญากรรมก็ยิ่งมีประสิทธิภาพมากขึ้นเท่านั้น แต่ในทางกลับกัน สิทธิและเสรีภาพของประชาชนจะถูกกระทบกระเทือนจากการให้อำนาจแก่เจ้าหน้าที่ในการปราบปรามและป้องกันนั้นได้ เช่น การให้อำนาจแก่ตำรวจในการค้นในที่รโหฐานโดยไม่ต้องมีหมายค้น ประสิทธิภาพในการปรามปรามย่อมสูงแต่สิทธิและเสรีภาพของประชาชนจะถูกกระทบกระเทือน ไม่มีเสรีภาพในการอยู่อาศัยได้ เพราะเหตุว่าหากตำรวจอยากจะค้นตอนไหนก็ค้นได้ ด้วยเหตุนี้จึงต้องมีการจำกัดอำนาจในกรปราบปรามอาชญากรรม โดยกำหนดให้มีขั้นตอนกระบวนการต่างๆ ในการดำเนินคดีไว้ เช่น การจับจะต้องมีหมายจับ การค้นต้องมีหมายค้นที่ออกโดยศาลจึงจะค้นได้ ซึ่งเป็นไปตามหลัก Due Process

            การค้นในที่สาธารณะ โดยหลักการแล้วกฎหมายห้ามไม่ให้มีการค้นตัวบุคคลในที่สาธารณะ ซึ่งเป็นไปตามหลัก Due Process แต่ก็ได้เปิดช่องไว้ให้มีการค้นตัวบุคคลที่สาธารณะได้ เพื่อประโยชน์ในการควบคุมอาชญากรรม ตามหลัก Crime Control
           หลักการนี้ปรากฎในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความของไทยได้ ใน ม. 93
“ห้ามมิให้ทำการค้นบุคคลใดในที่สาธารณสถาน เว้นแต่ พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจเป็นผู้ค้นในเมื่อมีเหตุอันควรสงสัยว่า บุคคลนั้นมีสิ่งของในความครอบครองเพื่อจะใช้ในการกระทำความผิด หรือซึ่งได้มาโดยการกระทำความผิดหรือซึ่งมีไว้เป็นความผิด”

            การค้นในที่สาธารณะโดยหลักแล้ว ห้ามไม่ให้มีการค้นเลย แต่ทั้งนี้ก็ไม่ได้ห้ามเป็นเด็ดขาด มีข้อยกเว้นไว้ให้สามารถค้นได้ โดยมีเงื่อนไขที่จะค้นในที่สาธารณะได้ดังนี้

            1. ผู้ที่ทำการค้นต้องเป็นพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจ

            2. จะค้นได้เมื่อมีเหตุอันควรสงสัยว่าอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้
                        - บุคคลนั้นมีสิ่งของในความครอบครองเพื่อจะใช้ในการกระทำความผิด เช่น สงสัยว่าจะมีอาวุธ สงสัยว่าจะมีอุปกรณ์ในการงัดแงะประตูหน้าต่าง
                        - บุคคลนั้นมีสิ่งของในความครอบครองซึ่งได้มาโดยการกระทำความผิด เช่น มีทรัพย์อยู่ในรถที่ได้ไปลักมา มีการแจ้งให้สกัดจับรถคนร้ายโจรกรรมรถ
                        - บุคคลนั้นมีสิ่งของในความครอบครองซึ่งมีไว้เป็นความผิด เช่น มียาเสพติด ของหนีภาษี เป็นต้น

            ประเด็นที่เป็นปัญหาของ ม.93 คือ กรณีใดที่จะถือว่ามีเหตุอันควรสงสัยแล้ว เจ้าพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจจะมีอำนาจค้นได้  ตรงนี้ตามหลักของการตีความแล้ว การค้นในที่สาธารณะถือเป็นข้อยกเว้นจะต้องตีความอย่างแคบ โดยไม่ขยายอำนาจในการค้นของเจ้าพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจออกไปมาก เพราะถ้าหากตีความในทางให้อำนาจแก่เจ้าพนักงานหรือตำรวจมากไปแล้ว สิทธิและเสรีภาพของประชาชนจะได้รับการกระทบกระเทือนอย่างมาก

            ในประเด็นนี้ศาลได้วินิจฉัยไว้เป็นแนวดังนี้

              คำพิพากษาฎีกาที่ 8722/2555 บริเวณที่เกิดเหตุอยู่บนถนนสุทธาวาสไม่ใช่หลังซอยโรงถ่านที่มีอาชญากรรมประเภทความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ และความผิดเกี่ยวกับทรัพย์เป็นประจำ และจำเลยไม่มีท่าทางเป็นพิรุธคงเพียงแต่นั่งโทรศัพท์อยู่ การที่สิบตำรวจโท ก. และสิบตำรวจตรี พ. อ้างว่าเกิดความสงสัยในตัวจำเลยจึงขอตรวจค้น โดยไม่มีเหตุผลสนันสนุนว่าเพราะเหตุใด จึงเกิดความสงสัยในตัวจำเลย จึงเป็นข้อสงสัยที่อยู่บนพื้นฐานของความรู้สึกเพียงอย่างเดียว ถือไม่ได้ว่ามีเหตุอันควรสงสัยตามกฎหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 93 ที่จะทำการตรวจค้นได้ การตรวจค้นตัวจำเลยจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย  จำเลยซึ่งถูกกระทำโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายย่อมมีสิทธิโต้แย้งและตอบโต้เพื่อป้องกันสิทธิของตนตลอดจนเพิกเฉยไม่ปฏิบัติตามคำสั่งใด ๆ อันสืบเนื่องจากการปฏิบัติที่ไม่ชอบได้  จำเลยจึงไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 136 ,มาตรา 138 วรรคสอง และมาตรา 367

            จากคำพิพากษาฎีกานี้จะเห็นว่า ศาลตีความคำว่า เหตุอันควรสงสัยที่จะค้นได้ตาม ป.วิอาญา ม.93 นั้นต้องปรากฎข้อเท็จจริงให้เกิดความสงสัยอย่างใดอย่างหนึ่งด้วย ไม่ใช่การคิดรู้สึกสงสัยเอาแต่ฝ่ายเดียวของเจ้าหน้าที่หรือตำรวจ แล้วจะสามารถค้นได้ ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า การค้นในที่สาธารณะนั้น จะค้นได้ต้องเป็นกรณีที่กฎหมายยกเว้นให้ค้นได้ และต้องตีความอย่างแคบ และจะคิดสงสัยเอาเองไม่ได้ต้องมีข้อเท็จจริงปรากฏให้เกิดความสงสัยด้วยจึงจะค้นได้

            นอกจากกนี้ยังมีประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการค้นโดยไม่ชอบอีกหลายประเด็น เช่น การค้นโดยไม่ชอบผู้ที่ถูกค้นย่อมมีสิทธิป้องกันได้, และผู้ที่ทำการค้นอาจมีความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ ป.อ.157 รวมทั้งความผิดต่อเสรีภาพอีกด้วย,ทั้งพยานหลักฐานที่ได้มาจากการค้นโดยไม่ชอบต้องห้ามไม่ให้รับฟัง ตาม ป.วิอาญา ม.226







No comments:

Post a Comment