ความผิดฐานฆ่าคนตายโดยประมาท ม.291
โดย เฉลิมวุฒิ สาระกิจ
อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา
มาตรา 291 “ผู้ใดกระทำโดยประมาท และการกระทำนั้นเป็นเหตุ ให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี และปรับไม่เกิน สองหมื่นบาท”
1. บทนำ
ความผิดในฐานนี้ในตัวบทไม่มีคำว่า ฆ่า แต่ก็เรียกความผิดฐานฆ่าคนตายโดยประมาท เพราะการฆ่าหมายถึงการทำให้ตาย ไม่ว่าจะมเจตนาหรือไม่ก็ตาม หรือเรียกว่าความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้คนอื่นถึงแก่ความตาย ความผิดฐานนี้ไม่จำกัดการกระทำ ว่าจะต้องกระทำอย่างไร เป็นการกระทำอย่างไรก็ได้ แต่การกระทำนั้นเป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทำถึงแก่ความตาย แสดงว่าความตายต้องมีความสัมพันธ์กับการกระทำ
ความผิดฐานนี้องค์ประกอบภายใน (Internal Element) ผู้กระทำต้องกระทำโดยประมาท (Negligence) จะประมาทมากหรือน้อย จะประมาทโดยรู้ตัว (Recklessness) หรือประมาทด้วยความพลั้งเผลอ (Negligence) ตามกฎหมายอาญาไทยไม่ได้มีการแยกลงโทษหนักเบาตามระดับของความประมาท แต่ลงโทษความผิดที่กระทำโดยประมาทตามผลของการกระทำ หากผลของการกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ผู้กระทำจะมีความผิดตาม ม.291 ถ้าหากผลของการกระทำเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัส ผู้กระทำมีความผิดตาม ม.300 แต่ถ้าหากผลของการกระทำเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจผู้กระทำมีความผิดตาม ม.390[1]
2. องค์ประกอบความผิดภายนอก
- ผู้ใด
- กระทำ
- ผู้อื่น
3. องค์ประกอบภายใน
- ประมาท
ความหมายของการกระทำโดยประมาท พิจารณาตาม มาตรา 59 วรรคสี่ กระทำโดยประมาท ได้แก่กระทำความผิดมิใช่โดยเจตนา แต่ กระทำโดยปราศจากความระมัดระวัง ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจัก ต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และผู้กระทำอาจใช้ความระมัดระวัง เช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่
4. แนวคำพิพากษาฎีกาเกี่ยวกับความผิดฐานฆ่าคนตายโดยประมาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9981/2554 การที่จำเลยเดินเรือโดยฝ่าฝืนประกาศกรมเจ้าท่า อันเป็นความผิดฐานไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าท่าหรือเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามอำนาจหน้าที่ตาม พ.ร.บ.การเดินเรือในน่านน้ำไทย พ.ศ.2456 มาตรา 297 วรรคหนึ่ง กับการที่จำเลยเดินเรือด้วยความประมาทเป็นเหตุให้เรือลำเลียงที่จำเลยลากจูงมาโดนกับเรือบรรทุกสินค้า และผู้ตายถึงแก่ความตาย อันเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 291 เป็นการกระทำที่เกี่ยวเนื่องกันและเป็นผลโดยตรงที่ทำให้ผู้ตายถึงแก่ความตายจึงเป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาลงโทษจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมจึงไม่ชอบ ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4883/2553 แม้จำเลยจะขับรถบรรทุกสิบล้อและรถพ่วงด้วยความเร็วสูง แต่จำเลยขับรถในทางเดินรถของตนโดยถูกต้อง ส่วน ส. มิได้จอดรถเพื่อรถกลับรถในช่องกลับรถอย่างในภาวะปกติธรรมดา หากแต่เป็นเพราะรถที่ ส. ขับเกิดเสียการทรางตัวแล้วหมุนเข้าไปในทางเดินรถของจำเลยและขวางรถที่จำเลยขับในระยะกระชั้นชิด ในภาวะเช่นนั้นไม่ว่าจำเลยจะขับมาในลักษณะเช่นใดจำเลยย่อมไม่อาจจะหลบหลีกเพื่อมิให้ชนกับรถที่ ส. ขับได้ ดังนั้น การที่จำเลยขับรถบรรทุกสิบล้อและรถพ่วงด้วยความเร็วสูงและไม่ขับให้อยู่ในช่องเดินรถด้านซ้ายจึงมิใช่เป็นผลโดยตรงที่ทำให้เกิดการเฉี่ยวชนกัน จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานขับรถโดยประมาทและกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2869/2553 ก่อนเกิดเหตุจำเลยขับรถยนต์กระบะแซงรถจักรยานยนต์ของ ป. ล้ำเส้นแบ่งกึ่งกลางถนนเข้าไปในช่องเดินรถของผู้ตาย ขณะเดียวกันผู้ตายก็ขับรถจักรยานยนต์ล้ำเส้นแบ่งกึ่งกลางถนนเข้าไปในช่องเดินรถของจำเลยประมาณ 50 เซนติเมตร เป็นเหตุให้รถชนกันเช่นนี้ จำเลยจึงขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ทรัพย์สินของผู้อื่นได้รับความเสียหายและผู้อื่นถึงแก่ความตาย แม้ผู้ตายมีส่วนประมาทด้วยก็ไม่ทำให้จำเลยพ้นความรับผิดไปได้
5. ข้อสังเกตุ
- ความผิดฐานกระทำโดยประมาท ไม่มีความผิดฐานพยายาม เพราะความผิดฐานพยายามมีได้แต่เฉพาะความผิดที่กระทำโดยเจตนาเท่านั้น และเป็นความผิดที่ต้องการผล หากผลไม่เกิด ความรับผิดก็ไม่มี
- ความผิดฐานกระทำโดยประมาทไม่มีตัวการร่วม ผู้ใช้ ผู้สนับสนุน ต่างคนต่างประมาท (ประมาทร่วม แต่ไม่ใช่ร่วมกันประมาท)
[1] โปรดอ่าน อิทธิผลของแนวคิดฝ่ายภววิสัยที่มีต่อกฎหมายอาญา http://chalermwutsa.blogspot.com/2014/05/blog-post.html
|
|
|
|
|
No comments:
Post a Comment