กระทำความผิดเพราะบันดาลโทสะ
การกระทำผิดที่จะอ้างเหตุบันดาลโทสะได้นั้น จะต้องปรากฎว่าเป็นการกระทำขณะมีโมโหหรือโกรธอยู่ และสาเหตุที่มีโทสะนั้นต้องมาจากการถูกข่มเหงรังแกอย่างร้ายแรงด้วยเหตุที่ไม่เป็นธรรม ซึ่งเป็นธรรมดาของมนุษย์เมื่อมีผู้ใดมาข่มเหงรังแกมาก ๆ เข้าก็ทนไม่ไหว ระงับความโกรธนั้นไม่อยู่ จึงได้ตอบโต้คนที่มารังแก เพราะความโกรธชั่ววูบทำให้มนุษย์คิดไตร่ตรองไม่ละเอียดรอบคอบ ขาดการคำนึงถึงผลเสียที่ตามมา จึงได้กระทำผิดลงไป
ด้วยเหตุนี้กฎหมายเข้าใจถึงธรรมชาติของมนุษย์เรา ที่อาจจะระงับโทสะไม่อยู่ แต่อย่างไรก็ตามการกระทำด้วยโทาสะดังกล่าวก็ไม่ถือเป็นการกระทำที่ชอบธรรม ที่สามารถนำมาอ้างเพื่อให้พ้นจากความผิดได้(เหตุยกเว้นความผิด) และก็ไม่ใช่การกระทำที่ถูกบังคับ ที่จะนำมาอ้างเพื่อให้ตนเองไม่ต้องรับโทษ(เหตุยกเว้นโทษ) การกระทำโดยบันดาลโทสะจึงเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายอยู่ แต่อ้างเป็นเหตุลดโทษเพื่อให้ศาลลงโทษน้อยกว่าที่กฎมายกำหนดได้
มาตรา 72 "ผู้ใดบันดาลโทสะโดยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุ อันไม่เป็นธรรม จึงกระทำความผิดต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น ศาลจะ ลงโทษผู้นั้นน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้"
หลักเกณฑ์สำคัญของการจะอ้างบันดาลโทสะเพื่อให้ศาลลดโทษให้นั้นต้องปรากฎว่า
1. ถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม ซึ่งหมายความว่า เป็นผู้ที่ถูกรังแกแต่ฝ่ายเดียวโดยไม่เป็นธรรม การข่มเหงอย่างไม่เป็นธรรมนั้น ศาลได้อธิบายไว้ดังนี้ คำพิพากษาฎีกาที่ 7835/2554 กรณีที่จะเป็นการกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะตาม ป.อ. มาตรา 72 ต้องเป็นเรื่องที่ผู้กระทำความผิดถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม โดยพิจารณาเปรียบเทียบกับความรู้สึกของคนธรรมดาหรือวิญญูชนทั่วไปว่าผู้ที่อยู่ในภาวะ วิสัย และพฤติการณ์อย่างเดียวกับจำเลยนั้น ถือได้ว่าจำเลยผู้กระทำความผิดถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมหรือไม่ หาใช่ถือเอาตามความรู้สึกนึกคิดของตัวจำเลยผู้กระทำความผิดเอง ที่จำเลยฎีกาว่าการที่ผู้เสียหายจอดรถจักรยานยนต์ขวางหน้ารถยนต์ที่จำเลยกับ พ. กำลังพูดคุยกันก็เพื่อแสดงให้จำเลยเห็นว่า พ. มีใจให้ผู้เสียหาย เป็นการดูถูกเหยียดหยามและเย้ยหยันจำเลยต่อหน้าคนรัก จำเลยจึงเกิดอาการโกรธเนื่องจากหึงหวงเป็นเหตุให้ทำร้ายผู้เสียหายนั้น ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นการกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะ
นอกจาการข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมแล้วต้องไม่ใช่การสมัครใจเข้าวิวาทหรือต่อสู้กัน หากเป็นการสมัคใจเข้าวิวาทหรือต่อสู้กันแล้ว จะอ้างว่าถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมไม่ได้ ดังเช่นใน คำพิพากษาฎีกาที่ 8347/2554 ก่อนเกิดเหตุผู้เสียหายมีเรื่องทะเลาะโต้เถียงกับจำเลยซึ่งนั่งดื่มสุราอยู่ที่ร้านใกล้ที่เกิดเหตุ จึงเชื่อว่าเป็นสาเหตุให้จำเลยไม่พอใจผู้เสียหายเป็นอย่างมาก ในวันเกิดเหตุเมื่อผู้เสียหายออกจากร้านไปแล้ว ผู้เสียหายร้องตะโกนท้าทายจำเลยให้ออกไป จะฟันให้คอขาด จำเลยจึงรีบวิ่งไปหาผู้เสียหาย ถือได้ว่าจำเลยสมัครใจเข้าวิวาทและต่อสู้กับผู้เสียหาย และเป็นการกระทำที่จำเลยเข้าสู้ภัยทั้งที่ยังไม่มีภยันตรายมาถึงตน จึงเป็นการกระทำโดยที่ไม่มีกฎหมายให้อำนาจไว้ แม้ผู้เสียหายจะทำร้ายจำเลยก่อน ก็เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นขณะที่จำเลยกับผู้เสียหายสมัครใจวิวาทกัน ดังนั้น จำเลยจึงไม่อาจที่จะอ้างสิทธิป้องกันได้ตามกฎหมาย และแม้จำเลยมีความไม่พอใจผู้เสียหายเป็นอย่างมาก แต่เมื่อจำเลยสมัครใจที่จะไปต่อสู้กับผู้เสียหายเองก็ไม่อาจถือได้ว่าจำเลยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม จำเลยจึงไม่อาจอ้างเหตุบันดาลโทสะได้เช่นเดียวกัน การกระทำของจำเลยไม่เป็นการกระทำเพื่อป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย และไม่เป็นการกระทำโดยเหตุบันดาลโทสะ
2. ต้องได้กระทำในขณะที่ยังมีโทสะอยู่ หมายถึง การกระทำอันจะอ้างบันดาลโทสะได้นั้นต้องได้กระทำในขณะที่ยังมีโทสะ(โกรธอยู่) ไม่ใช่เป็นการกระทำที่ขาดตอนไปแล้ว หากการกระทำนั้นขาดตอนจากการถูกข่มเหงแล้วจะอ้างบันดาลโทสะไม่ได้ ลองพิจารณาคำพิพากษาฎีกาต่อไปนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 81/2554 หลังจากผู้ตายใช้ขวดสุราตีศีรษะจำเลย ผู้ตายกับจำเลยยังได้รับประทานอาหารด้วยกัน และจำเลยกลับไปบ้านแล้ว ต่อมานานถึง 2 ชั่วโมงเศษ จำเลยจึงมาที่บ้านเกิดเหตุและใช้มีดโต้ฟันผู้ตายขณะที่ผู้ตายกับ ข. นอนหลับกันแล้ว เหตุการณ์ที่ผู้ตายใช้ขวดสุราตีศีรษะจำเลยได้ขาดตอนตั้งแต่นั่งรับประทานอาหารด้วยกัน จำเลยจึงมิได้กระทำความผิดในขณะที่บันดาลโทสะอยู่ แต่กระทำความผิดในภายหลังเป็นเวลานานถือได้ว่าเหตุบันดาลโทสะขาดตอนแล้ว และการที่จำเลยกลับบ้านนั่งคิดแค้นอยู่ที่บ้านตั้ง 2 ชั่วโมง จึงไปทำร้ายตายในขณะกำลังนอนหลับในยามวิกาลและเวลาดึกสงัดโดยใช้มีดโต้ขนาดใหญ่เลือกฟันผู้ตายที่ศีรษะ ใบหน้าและลำคอหลายครั้ง ซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญ หากถูกฟันอย่างแรงเพียงครั้งเดียวก็ถึงแก่ความตายแล้ว แม้จำเลยมิได้เตรียมมีดมา แต่จำเลยก็เตรียมไฟฉายมาค้นหาอาวุธ ซึ่งจำเลยทราบดีอยู่แล้วว่าที่บ้านเกิดเหตุมีมีดโต้ใช้เป็นอาวุธทำร้ายผู้ตายได้และใช้ไฟฉายส่องหาทำร้ายผู้ตายได้ไม่ผิดตัวพฤติการณ์ชี้ชัดว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน
จากคำพิพากษาฎีกาที่ 81/2554 จำเลยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมจริง แต่จำเลยไม่ได้ตอบโต้กลับไปในขณะที่มีโทสะอยู่ ข้อเท็จจริงปรากฎว่าจำเลยได้กลับไปบ้านเพื่อหามีดและกลับมาทำร้ายผู้ตายถึงที่บ้าน ซึ่งระยะเวลาที่ถูกข่มเหงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมกับการกระทำของจำเลย ห่างกันเป็นเวลา 2 ชมเศษ ซึ่งเป็นเวลานานเพียงพอที่จำเลยจะระงับโทสะและข้อเท็จจริงยังปรากฎว่าหลังจากถูกตีหัวจำเลยก็ยังนั่งอาหารกับผู้ตายอีกด้วย ทำให้การกระทำของจำเลยในภายหลังนั้นขาดตอนจากการถูกข่มเหง
เมื่อจำเลยได้กลับไปบ้านหามีดและกลับมาใช้มีดฆ่าผู้ตาย เป็นการกระทำที่สามารถคิดและไตร่ตรองว่าจะกระทำความผิดหรือไม่ แต่จำเลยยังเลือกที่จะกระทำความผิด จำเลยจึงมีความผิดฐานฆ่าคนตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ตาม ป.อ.มาตรา 289(4) โดยที่ไม่สามารถอ้างเหตุบันดาลโทสะได้
ป.ล. หลักบันดาลโทสะในประเด็นของการไม่ได้สมัครใจเข้าวิวาทและไม่ขาดตอนนั้น สามารถนำไปใช้วินิจฉัยในเรื่องของการป้องกันตาม ม.68 ซึ่งมีหลักการสำคัญคล้ายกัน กล่าวคือ ในเรื่องป้องกัน ผู้ที่จะอ้างป้องกันได้ต้องไม่ได้สมัครใจเข้าวิวาท และจะอ้างป้องกันได้ต้องได้กระทำไม่ขาดตอนกับภยันตรายที่เกิดขึ้นด้วย
เฉลิมวุฒิ สาะกิจ
อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา
ด้วยเหตุนี้กฎหมายเข้าใจถึงธรรมชาติของมนุษย์เรา ที่อาจจะระงับโทสะไม่อยู่ แต่อย่างไรก็ตามการกระทำด้วยโทาสะดังกล่าวก็ไม่ถือเป็นการกระทำที่ชอบธรรม ที่สามารถนำมาอ้างเพื่อให้พ้นจากความผิดได้(เหตุยกเว้นความผิด) และก็ไม่ใช่การกระทำที่ถูกบังคับ ที่จะนำมาอ้างเพื่อให้ตนเองไม่ต้องรับโทษ(เหตุยกเว้นโทษ) การกระทำโดยบันดาลโทสะจึงเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายอยู่ แต่อ้างเป็นเหตุลดโทษเพื่อให้ศาลลงโทษน้อยกว่าที่กฎมายกำหนดได้
มาตรา 72 "ผู้ใดบันดาลโทสะโดยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุ อันไม่เป็นธรรม จึงกระทำความผิดต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น ศาลจะ ลงโทษผู้นั้นน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้"
หลักเกณฑ์สำคัญของการจะอ้างบันดาลโทสะเพื่อให้ศาลลดโทษให้นั้นต้องปรากฎว่า
1. ถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม ซึ่งหมายความว่า เป็นผู้ที่ถูกรังแกแต่ฝ่ายเดียวโดยไม่เป็นธรรม การข่มเหงอย่างไม่เป็นธรรมนั้น ศาลได้อธิบายไว้ดังนี้ คำพิพากษาฎีกาที่ 7835/2554 กรณีที่จะเป็นการกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะตาม ป.อ. มาตรา 72 ต้องเป็นเรื่องที่ผู้กระทำความผิดถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม โดยพิจารณาเปรียบเทียบกับความรู้สึกของคนธรรมดาหรือวิญญูชนทั่วไปว่าผู้ที่อยู่ในภาวะ วิสัย และพฤติการณ์อย่างเดียวกับจำเลยนั้น ถือได้ว่าจำเลยผู้กระทำความผิดถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมหรือไม่ หาใช่ถือเอาตามความรู้สึกนึกคิดของตัวจำเลยผู้กระทำความผิดเอง ที่จำเลยฎีกาว่าการที่ผู้เสียหายจอดรถจักรยานยนต์ขวางหน้ารถยนต์ที่จำเลยกับ พ. กำลังพูดคุยกันก็เพื่อแสดงให้จำเลยเห็นว่า พ. มีใจให้ผู้เสียหาย เป็นการดูถูกเหยียดหยามและเย้ยหยันจำเลยต่อหน้าคนรัก จำเลยจึงเกิดอาการโกรธเนื่องจากหึงหวงเป็นเหตุให้ทำร้ายผู้เสียหายนั้น ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นการกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะ
นอกจาการข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมแล้วต้องไม่ใช่การสมัครใจเข้าวิวาทหรือต่อสู้กัน หากเป็นการสมัคใจเข้าวิวาทหรือต่อสู้กันแล้ว จะอ้างว่าถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมไม่ได้ ดังเช่นใน คำพิพากษาฎีกาที่ 8347/2554 ก่อนเกิดเหตุผู้เสียหายมีเรื่องทะเลาะโต้เถียงกับจำเลยซึ่งนั่งดื่มสุราอยู่ที่ร้านใกล้ที่เกิดเหตุ จึงเชื่อว่าเป็นสาเหตุให้จำเลยไม่พอใจผู้เสียหายเป็นอย่างมาก ในวันเกิดเหตุเมื่อผู้เสียหายออกจากร้านไปแล้ว ผู้เสียหายร้องตะโกนท้าทายจำเลยให้ออกไป จะฟันให้คอขาด จำเลยจึงรีบวิ่งไปหาผู้เสียหาย ถือได้ว่าจำเลยสมัครใจเข้าวิวาทและต่อสู้กับผู้เสียหาย และเป็นการกระทำที่จำเลยเข้าสู้ภัยทั้งที่ยังไม่มีภยันตรายมาถึงตน จึงเป็นการกระทำโดยที่ไม่มีกฎหมายให้อำนาจไว้ แม้ผู้เสียหายจะทำร้ายจำเลยก่อน ก็เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นขณะที่จำเลยกับผู้เสียหายสมัครใจวิวาทกัน ดังนั้น จำเลยจึงไม่อาจที่จะอ้างสิทธิป้องกันได้ตามกฎหมาย และแม้จำเลยมีความไม่พอใจผู้เสียหายเป็นอย่างมาก แต่เมื่อจำเลยสมัครใจที่จะไปต่อสู้กับผู้เสียหายเองก็ไม่อาจถือได้ว่าจำเลยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม จำเลยจึงไม่อาจอ้างเหตุบันดาลโทสะได้เช่นเดียวกัน การกระทำของจำเลยไม่เป็นการกระทำเพื่อป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย และไม่เป็นการกระทำโดยเหตุบันดาลโทสะ
2. ต้องได้กระทำในขณะที่ยังมีโทสะอยู่ หมายถึง การกระทำอันจะอ้างบันดาลโทสะได้นั้นต้องได้กระทำในขณะที่ยังมีโทสะ(โกรธอยู่) ไม่ใช่เป็นการกระทำที่ขาดตอนไปแล้ว หากการกระทำนั้นขาดตอนจากการถูกข่มเหงแล้วจะอ้างบันดาลโทสะไม่ได้ ลองพิจารณาคำพิพากษาฎีกาต่อไปนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 81/2554 หลังจากผู้ตายใช้ขวดสุราตีศีรษะจำเลย ผู้ตายกับจำเลยยังได้รับประทานอาหารด้วยกัน และจำเลยกลับไปบ้านแล้ว ต่อมานานถึง 2 ชั่วโมงเศษ จำเลยจึงมาที่บ้านเกิดเหตุและใช้มีดโต้ฟันผู้ตายขณะที่ผู้ตายกับ ข. นอนหลับกันแล้ว เหตุการณ์ที่ผู้ตายใช้ขวดสุราตีศีรษะจำเลยได้ขาดตอนตั้งแต่นั่งรับประทานอาหารด้วยกัน จำเลยจึงมิได้กระทำความผิดในขณะที่บันดาลโทสะอยู่ แต่กระทำความผิดในภายหลังเป็นเวลานานถือได้ว่าเหตุบันดาลโทสะขาดตอนแล้ว และการที่จำเลยกลับบ้านนั่งคิดแค้นอยู่ที่บ้านตั้ง 2 ชั่วโมง จึงไปทำร้ายตายในขณะกำลังนอนหลับในยามวิกาลและเวลาดึกสงัดโดยใช้มีดโต้ขนาดใหญ่เลือกฟันผู้ตายที่ศีรษะ ใบหน้าและลำคอหลายครั้ง ซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญ หากถูกฟันอย่างแรงเพียงครั้งเดียวก็ถึงแก่ความตายแล้ว แม้จำเลยมิได้เตรียมมีดมา แต่จำเลยก็เตรียมไฟฉายมาค้นหาอาวุธ ซึ่งจำเลยทราบดีอยู่แล้วว่าที่บ้านเกิดเหตุมีมีดโต้ใช้เป็นอาวุธทำร้ายผู้ตายได้และใช้ไฟฉายส่องหาทำร้ายผู้ตายได้ไม่ผิดตัวพฤติการณ์ชี้ชัดว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน
จากคำพิพากษาฎีกาที่ 81/2554 จำเลยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมจริง แต่จำเลยไม่ได้ตอบโต้กลับไปในขณะที่มีโทสะอยู่ ข้อเท็จจริงปรากฎว่าจำเลยได้กลับไปบ้านเพื่อหามีดและกลับมาทำร้ายผู้ตายถึงที่บ้าน ซึ่งระยะเวลาที่ถูกข่มเหงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมกับการกระทำของจำเลย ห่างกันเป็นเวลา 2 ชมเศษ ซึ่งเป็นเวลานานเพียงพอที่จำเลยจะระงับโทสะและข้อเท็จจริงยังปรากฎว่าหลังจากถูกตีหัวจำเลยก็ยังนั่งอาหารกับผู้ตายอีกด้วย ทำให้การกระทำของจำเลยในภายหลังนั้นขาดตอนจากการถูกข่มเหง
เมื่อจำเลยได้กลับไปบ้านหามีดและกลับมาใช้มีดฆ่าผู้ตาย เป็นการกระทำที่สามารถคิดและไตร่ตรองว่าจะกระทำความผิดหรือไม่ แต่จำเลยยังเลือกที่จะกระทำความผิด จำเลยจึงมีความผิดฐานฆ่าคนตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ตาม ป.อ.มาตรา 289(4) โดยที่ไม่สามารถอ้างเหตุบันดาลโทสะได้
ป.ล. หลักบันดาลโทสะในประเด็นของการไม่ได้สมัครใจเข้าวิวาทและไม่ขาดตอนนั้น สามารถนำไปใช้วินิจฉัยในเรื่องของการป้องกันตาม ม.68 ซึ่งมีหลักการสำคัญคล้ายกัน กล่าวคือ ในเรื่องป้องกัน ผู้ที่จะอ้างป้องกันได้ต้องไม่ได้สมัครใจเข้าวิวาท และจะอ้างป้องกันได้ต้องได้กระทำไม่ขาดตอนกับภยันตรายที่เกิดขึ้นด้วย
เฉลิมวุฒิ สาะกิจ
อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา
No comments:
Post a Comment