"ความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราควรมีโทษถึงขั้นประหารชีวิตหรือไม่"
วันนี้ลองถามนิสิตดูว่า
"ความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราควรมีการแก้บทลงโทษให้หนักขึ้นถึงขั้นประหารชีวิตหรือไม่"
ส่วนใหญ่นิสิตเห็นด้วย เหตุผลเพื่อให้โทษที่หนักขึ้นถึงขั้นประหารชีวิตเป็นตัวยับยั้งไม่ให้คนคิดจะกระทำผิด โทษหนักสามารถยั้บยั้ง(Deterrence) อาชญากรรมได้
ถามว่า โทษประหารชีวิตสามารถยับยั้งไม่ให้คนถูกข่มขืนได้จริงไหม
หากวิเคราะห์ตามหลัก "เศรษฐศาสตร์" เราสามารถยับยั้งอาชญากรรมได้ โดยการทำให้ต้นทุนของการกระทำความผิดสูงขึ้น เพราะต้นทุนสูงขึ้น ทำผิดแล้วไม่คุ้ม ผู้กระทำจะเลือกไม่กระทำ
ปัญหาต่อมาว่า เราจะเพิ่มต้นทุนผู้กระทำความผิดยังไงให้สูงขึ้น
การทำให้ต้นทุนในการกระทำความผิดสูงขึ้นสามารถทำได้ 2 วิธี คือ
1. เพิ่มโทษ
2. เพิ่มโอกาสในการถูกจับกุม
แสดงว่า การเพิ่มโทษในความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเรา สามารถยับยั้งผู้กระทำความผิดฐานนี้ได้ แต่ปัญหาที่จะตามมา คือ หลังจากที่มีการข่มขืนแล้ว ต่อไปนี้เหยื่อที่ถูกข่มขืนจะถูกฆ่าตายมากขึ้น
เหตุผล ทำไมเหยื่อจึงจะถูกฆ่าตาย เพราะการฆ่าเหยื่อเป็นประโยชน์ต่อผู้กระทำความผิดมากกว่า
มีประโยชน์มากกว่ายังไง
หากโทษข่มขืนกระทำชำเราถึงขั้นประหารชีวิต การฆ่าเหยื่อตายโทษของการกระทำความผิดก็เท่าเดิมกับการข่มขืน คือ ประหารชีวิต
แต่ที่เป็นประโยชน์ เพราะคดีนี้จะขาดพยานสำคัญในคดีเนื่องมาจากผู้เสียหายตายแล้ว ไม่มีคนไปเบิกความที่ศาล ซึ่งหากมองในมุมของผู้กระทำความผิดแล้ว การฆ่าเหยื่อให้ตายมีแต่ประโยชน์
ช่วงระยะความหนักเบาของโทษ ฐานข่มขืนกระทำชำเรากับโทษฐานข่มขืนกระทำชำเราเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย โทษของสองฐานความผิดนี้ต้องมีมีระยะห่างกัน
เพื่อให้ระยะห่างของโทษ เป็นตัวยับยั้งไม่ให้ผู้กระทำความผิดฆ่าเหยือหลังจากการข่มขืน เช่น หากข่มขืนมีโทษจำคุกอย่างสูงไม่เกิน 20 ปี แต่ถ้าข่มขืนแล้วฆ่าจะมีโทษประหารชีวิต
ความหนักเบาของโทษที่เพิ่มขึ้นหากฆ่าเหยื่อตาย จะเป็นตัวยับยั้งผู้กระทำความผิด ให้พอแค่ข่มขืน อย่าฆ่าเหยื่อ เพราะโทษจะหนักขึ้นถึงขั้นประหารชีวิต
ที่ยกมาทั้งหมด เป็นการวิเคราะห์โทษทางอาญาตามหลักของ "นิติเศรษฐศาสตร์" นะครับ
ป.ล. ความผิดฐานนี้ส่วนใหญ่เกิดจากคนใกล้ชิดมากกว่าคนอื่น เช่น แฟน เพื่อน คนรู้จัก จะเกิดจากคนแปลกหน้าได้ค่อนข้างน้อย เพราะฉะนั้นทางที่ดีควรไม่ทำตัวให้ตกเป็นเหยื่อดีที่สุด
อย่างที่เขาว่ากัน "คนไว้ใจ สุดท้าย...ร้ายที่สุด"
..................................
เฉลิมวุฒิ สาระกิจ
อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา
"ความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราควรมีการแก้บทลงโทษให้หนักขึ้นถึงขั้นประหารชีวิตหรือไม่"
ส่วนใหญ่นิสิตเห็นด้วย เหตุผลเพื่อให้โทษที่หนักขึ้นถึงขั้นประหารชีวิตเป็นตัวยับยั้งไม่ให้คนคิดจะกระทำผิด โทษหนักสามารถยั้บยั้ง(Deterrence) อาชญากรรมได้
ถามว่า โทษประหารชีวิตสามารถยับยั้งไม่ให้คนถูกข่มขืนได้จริงไหม
หากวิเคราะห์ตามหลัก "เศรษฐศาสตร์" เราสามารถยับยั้งอาชญากรรมได้ โดยการทำให้ต้นทุนของการกระทำความผิดสูงขึ้น เพราะต้นทุนสูงขึ้น ทำผิดแล้วไม่คุ้ม ผู้กระทำจะเลือกไม่กระทำ
ปัญหาต่อมาว่า เราจะเพิ่มต้นทุนผู้กระทำความผิดยังไงให้สูงขึ้น
การทำให้ต้นทุนในการกระทำความผิดสูงขึ้นสามารถทำได้ 2 วิธี คือ
1. เพิ่มโทษ
2. เพิ่มโอกาสในการถูกจับกุม
แสดงว่า การเพิ่มโทษในความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเรา สามารถยับยั้งผู้กระทำความผิดฐานนี้ได้ แต่ปัญหาที่จะตามมา คือ หลังจากที่มีการข่มขืนแล้ว ต่อไปนี้เหยื่อที่ถูกข่มขืนจะถูกฆ่าตายมากขึ้น
เหตุผล ทำไมเหยื่อจึงจะถูกฆ่าตาย เพราะการฆ่าเหยื่อเป็นประโยชน์ต่อผู้กระทำความผิดมากกว่า
มีประโยชน์มากกว่ายังไง
หากโทษข่มขืนกระทำชำเราถึงขั้นประหารชีวิต การฆ่าเหยื่อตายโทษของการกระทำความผิดก็เท่าเดิมกับการข่มขืน คือ ประหารชีวิต
แต่ที่เป็นประโยชน์ เพราะคดีนี้จะขาดพยานสำคัญในคดีเนื่องมาจากผู้เสียหายตายแล้ว ไม่มีคนไปเบิกความที่ศาล ซึ่งหากมองในมุมของผู้กระทำความผิดแล้ว การฆ่าเหยื่อให้ตายมีแต่ประโยชน์
ช่วงระยะความหนักเบาของโทษ ฐานข่มขืนกระทำชำเรากับโทษฐานข่มขืนกระทำชำเราเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย โทษของสองฐานความผิดนี้ต้องมีมีระยะห่างกัน
เพื่อให้ระยะห่างของโทษ เป็นตัวยับยั้งไม่ให้ผู้กระทำความผิดฆ่าเหยือหลังจากการข่มขืน เช่น หากข่มขืนมีโทษจำคุกอย่างสูงไม่เกิน 20 ปี แต่ถ้าข่มขืนแล้วฆ่าจะมีโทษประหารชีวิต
ความหนักเบาของโทษที่เพิ่มขึ้นหากฆ่าเหยื่อตาย จะเป็นตัวยับยั้งผู้กระทำความผิด ให้พอแค่ข่มขืน อย่าฆ่าเหยื่อ เพราะโทษจะหนักขึ้นถึงขั้นประหารชีวิต
ที่ยกมาทั้งหมด เป็นการวิเคราะห์โทษทางอาญาตามหลักของ "นิติเศรษฐศาสตร์" นะครับ
ป.ล. ความผิดฐานนี้ส่วนใหญ่เกิดจากคนใกล้ชิดมากกว่าคนอื่น เช่น แฟน เพื่อน คนรู้จัก จะเกิดจากคนแปลกหน้าได้ค่อนข้างน้อย เพราะฉะนั้นทางที่ดีควรไม่ทำตัวให้ตกเป็นเหยื่อดีที่สุด
อย่างที่เขาว่ากัน "คนไว้ใจ สุดท้าย...ร้ายที่สุด"
..................................
เฉลิมวุฒิ สาระกิจ
อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา
No comments:
Post a Comment