ก่อนอื่นต้องขอชื่นชมละครเรื่องดังกล่าว ที่ทำให้เป็นที่พูดถึงที่สนใจของคนในสังคม นานๆทีจะมีประเด็นทางกฎหมายให้คนในสังคมได้ถกเถียงกัน เพราะส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นจากข่าวไม่ได้เกิดจากละครทีวี
ละครเรื่องนี้ทำให้คนเกิดความรู้สึกร่วม อารมณ์ร่วมไปกับตัวละครที่เป็นผู้ดำเนินเรื่อง ทั้งถูกข่มเหงจากสามี ถูกข่มเหงจากกลุ่มค้ายา จนสุดท้ายถูกกระทำทารุณทั้งแม่และลูก ดูถึงตอนนี้แล้ว เชื่อว่าหลายๆคนคงสงสารตัวละครในเรื่อง เศร้าและสะเทือนใจ
หลังจากนั้นก็มีการจับตัวคนร้ายได้ทั้งหมด และทุกคนก็ถูกดำเนินคดี แต่เมื่อถึงชั้นศาลปรากฎว่ามีคนร้ายบางคนถูกลงโทษ และบางคนถูกปล่อยตัว เพราะพยานหลักฐานไม่สามารถเอาผิดได้
มาถึงตรงนี้เป็นประเด็นที่ทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมว่า "ทำไมในละครศาลถึงตัดสินแบบนี้
ในความเป็นจริงในศาลไม่เหมือนกับดูละคร เพราะในละครเราเห็นเรื่องราว เราเห็นเหตุการณ์มาโดยตลอด ใครทำอะไร เหมือนเราได้อยู่ในเหตุการณ์จริง แน่นอนว่าเราย่อมรู้ว่าความจริงมันเป็นอย่างไร
หากเราเป็นผู้พิพากษาในคดีนี้ เราย่อมตัดสินได้ถูกต้อง เพราะเรารู้ว่าใครทำอะไรมาบ้าง
แต่ในเรื่องจริง หากเราเป็นผู้พิพากษาในคดี เราจะไม่รู้เรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น เพราะไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ ศาลที่พิจารณาจะรู้เรื่องราว ข้อเท็จจริงผ่านการนำสืบของฝ่ายโจทก์และจำเลย
การสืบพยานในศาลเป็นการต่อสู้กันของโจทก์และจำเลย ฝ่ายโจทก์กล่าวหาก็ต้องหาพยานมายืนยันว่าจำเลยกระทำความผิด ส่วนจำเลยก็พยายามทำลายความน่าเชื่อถือของพยาน จนสุดท้ายศาลจะเป็นผู้ตัดสินตามพยานหลักฐานที่นำสืบ ใครมีน้ำหนักมากกว่าก็ชนะคดี
มาถึงตรงนี้ หากโจทก์นำสืบไม่ดี เช่น พยานหลักฐานไม่มี หรือมีแต่ไม่มากพอ ก็อาจจะทำให้ศาลไม่เชื่อว่าจำเลยกระทำความผิดจริง ศาลก็จะยกฟ้อง ปล่อยตัวจำเลย
ที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น ผู้เขียนต้องการจะอธิบายว่า ในการดำเนินคดีอาญาในศาลนั้น หากเรารู้ความจริงเหมือนดูละคร คงตัดสินไม่ยาก คนที่ทำผิดต้องถูกลงโทษตามกฎหมายแน่นอน
แต่ในความจริง เราไม่รู้อะไรเลย เราจะรู้ได้จากการเบิกความพยาน พยานวัตถุ พยานเอกสารเท่านั้น
ในคดีอาญา การแสวงหาความจริงจึงมีความสำคัญมาก เพราะตราบใดที่ความจริงไม่ปรากฏ ความยุติธรรมก็ไม่อาจเกิดขึ้นได้เลย
ขอจบตอนที่ 1 ไว้เท่านี้ก่อนครับ ไปดูละครย้อนหลังค่อยมาดขียนตอนใหม่
เฉลิมวุฒิ สาระกิจ
อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา