ความรับผิดในการกระทำของบุคคลอื่นVicarious Liability
ชื่อ นายเฉลิมวุฒิ สกุล สาระกิจ
คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา
อำเภอเมือง
จังหวัดพะเยา รหัสไปรษณีย์ 56000
บทคัดย่อ
บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความรับผิดในการกระทำของบุคคลอื่นทั้งความรับผิดทางแพ่งและความรับผิดทางอาญา
ซึ่งโดยหลักแล้วบุคคลย่อมต้องรับผิดในการกระทำของบุคคลเอง
แต่มีบางกรณีที่กฎหมายกำหนดให้ต้องรับผิดในการกระทำของบุคคลอื่น โดยที่บุคคลที่ต้องรับผิดนั้นไม่ได้มีการกระทำที่เป็นความผิด
(Fault) เช่น
ในทางกฎหมายแพ่ง กรณีนายจ้างต้องร่วมรับผิดกับลูกจ้างในการทำละเมิดในทางการที่จ้าง
แม้จะปรากฏว่านายจ้างได้ใช้ความระมัดระวังในการเป็นจ้างแล้วอย่างไรก็ตาม
ก็ไม่เป็นเหตุที่นายจะนำมาอ้างเพื่อไม่ต้องรับผิดร่วมกับลูกจ้างในการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่บุคคที่ถูกลูกจ้างทำละเมิด
ส่วนในทางกฎหมายอาญา บุคคลที่จะต้องรับผิดในทางอาญานั้น โดยหลักแล้วต้องมีการกระทำความผิด
อาจจะกระทำความผิดด้วยตัวเอง กระทำความผิดโดยอ้อม
หรือต้องรับผิดเพราะเข้าไปเกี่ยวข้องในการกระทำความผิด เช่น เป็นตัวการ ผู้ใช้
ผู้สนับสนุน ซึ่งหากพิจารณาแล้วจะเห็นว่า
ในทางอาญาเหตุที่ทำให้ผู้กระทำต้องรับผิดนั้นล้วนมาจากการกระทำของตนทั้งสิ้น
แต่ในอาญาบางฐานความผิดนั้นได้กำหนดให้ผู้ที่ไม่มีการกระทำต้องร่วมรับผิดในการกระทำของบุคคลอื่น
โดยที่บุคคลดังกล่าวไม่ได้มีการกระทำความผิด
แต่เพราะความเป็นสมาชิกที่อยู่ด้วยในขณะกระทำความผิดหรืออยู่ด้วยในที่ประชุมแต่ไม่ได้คัดค้านในการตกลง
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา
213
ซึ่งได้รับแนวความคิดมาจากความรับผิดในการกระทำของบุคคลอื่นในทางแพ่ง
คำสำคัญ : ละเมิด,
ความรับผิด, นายจ้างลูกจ้าง,ความรับผิดทางอาญา, ความรับผิดในการกระทำของบุคคลอื่น,
1. บทนำ
แนวความคิดเกี่ยวกับการละเมิดนั้นได้ก่อกำเนิดขึ้นมาเป็นเวลานานในยุคเริ่มแรกนั้นความหมายของละเมิดอาจจะมีความแตกต่างจากปัจจุบัน
โดยเฉพาะความมุ่งหมายที่ในปัจจุบันนั้นมุ่งเยียวยาผู้เสียหายให้เสมือนความเสียหายไม่ได้เกิดขึ้นเลย[1]
และในยุคโรมันนั้นการละเมิด คือหนี้ที่เกิดการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
โดยไม่ได้มีการแยกความรับผิดออกเป็นความรับผิดทางแพ่งและความรับผิดทางอาญาออกจากกันอย่างชัดเจน
แต่ในปัจจุบันได้มีการแบ่งความรับผิดทางแพ่งและความรับผิดทางอาญาออกจากกันอย่างชัดเจน
เพราะวัตถุประสงค์ของกฎหมายแพ่งและอาญานั้นต่างกัน[2]
โดยความรับผิดทางแพ่งที่เกิดจากการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย คือ การทำละเมิด
ผู้ที่ทำละเมิดต่อผู้อื่นต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทน[3]
ส่วนความรับผิดทางอาญานั้น ผู้ที่กระทำผิดทางอาญาต้องถูกลงโทษตามกฎหมาย[4] เช่น จำคุก หรือปรับ
โดยหลักแล้วบุคคลย่อมมีความรับผิดในการกระทำของตนเอง
เช่น การทำร้ายผู้อื่นในทางอาญา
ผู้ที่ได้กระทำโดยเจตนาให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายต้องระวางโทษจำคุกหรือปรับ
ในทางแพ่งก็ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพราะเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายโดยจงใจให้ผู้อื่นเสียหายแก่กาย แต่มีบางกรณีที่กฎหมายกำหนดให้ต้องรับผิดในการกระทำของบุคคลอื่น โดยที่บุคคลที่ต้องรับผิดนั้นไม่ได้มีการกระทำที่เป็นความผิด (Fault) จึงเกิดปัญหาว่าในทางแพ่งความรับผิดในการกระทำของบุคคลอื่นมีได้หรือไม่
และจะผู้ที่ต้องรับผิดในการกระทำของบุคคลอื่นนั้นจะปฏิเสธความรับผิดได้หรือไม่
ส่วนในทางอาญานั้นความรับผิดในการกระทำของบุคคลอื่นมีได้หรือไม่
และจะมีข้อปฏิเสธความรับผิดหรือไม่
2.
ความรับผิดทางแพ่ง
ความรับผิทางแพ่ง
คือ ความรับผิดในการทำละเมิดนั้น โดยหลักแล้ว
เป็นความรับผิดที่ตั้งอยู่บนการกระทำความผิดของตนเอง
เมื่อบุคคลนั้นได้กระทำโดยจงใจหรือประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับความเสียหาย
ก็จำต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น แต่อย่างไรก็ตามความรับผิดในการทำละเมิดยังได้ขยายความรับผิดออกไป
ในบางกรณียังต้องรับผิดในการทละเมิดของบุคคลอื่นอีกด้วย
ซึ่งความรับผิดในการทำละเมิดสามารถแยกพิจารณาได้ดังต่อไปนี้
1) ความรับผิดในทางละเมิดของตนเอง (Fault Liability)
บุคคลใดเมื่อก่อความเสียต่อผู้อื่นขึ้นมาแล้วย่อมต้องรับผิดในการกระทำของตน
โดยการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการละเมิดของตนเอง
ซึ่งเป็นหลักความยุติธรรมในการเยียวยาความเสียหายอันเกิดแต่การกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายนั้นให้กับผู้เสียหาย
ซึ่งความรับผิดในการละเมิดของตนเองนี้เป็นตามหลักปรกติที่ว่าใครกระทำความผิด
ผู้นั้นเท่านั้นที่ต้องรับผิด คนอื่นไม่เกี่ยว[5]
ซึ่งได้แก่กรณีดังต่อไปนี้
1.1) กรณีบุคคลทำละเมิดตาม มาตรา 420
ซึ่งเป็นความรับผิดในการกรทำของตนเอง
เมื่อได้กระทำอันเป็นารลเมิดต่อผู้อื่นย่อมต้องรับผิดในการชดใช้ค่าสินไหมทดแทน
1.2) กรณีนิติบุคคลรับผิดในการทำละเมิดของผู้แทนนิติบุคคลตาม มาตรา 76 ซึ่งกฎหมายกำหนดให้นิติบุคคลนั้นต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้ที่ได้รับความเสียหายจากการกระทำตามหน้าที่ของผู้แทนนิติบุคคลหรือผู้มีอำนาจทำการแทนนิติบุคคลนั้น
2) ความรับผิดในการทำละเมิดของบุคคลอื่น
(Vicarious Liability)
ตามปกติแล้วความรับผิดในการละเมิดนั้นจะมีขึ้นได้ก็แต่โดยการกระทำของตนเองไม่ว่าความเสียหายนั้นจะกระทำด้วยความจงใจหรือประมาทเลินเล่อ
เมื่อก่อให้เกิดความเสียหายต่อผู้อื่นแล้ว ย่อมต้องรับผิด แต่มีบางกรณีที่กฎหมายได้กำหนดให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดที่มีความเกี่ยวข้องต้องรับผิดในการกระทำละเมิดของผู้อื่น
แม้บุคคลนั้นไม่ได้มีส่วนรู้เห็นในการกระทำละเมิดของบุคคลอื่นเลยแต่อย่างใด
แต่ก็ต้องรับผิด
ซึ่งเป็นข้อยกเว้นของหลักการทั่วไปของละเมิดที่เป็นการรับผิดในการกระทำของตนเอง
ความรับผิดในการละเมิดของผู้อื่น(Vicarious Liability)
จึงเป็นบทยกเว้นของกฎหมายละเมิดในสมัยดั้งเดิมที่เน้นความรับผิดชอบในการกระทำของตนเอง
ที่ถือหลักว่า “ใครทำ คนนั้นรับ”
ดังนั้นเมื่อความรับผิดในการละเมิดของผู้อื่นเป็นข้อยกเว้น
ต้องมีกฎหมายบัญญัติไว้ให้ต้องรับผิดในการละเมิดของผู้อื่น
และต้องตีความบทบัญญัติดังกล่าวอย่างจำกัด
โดยพิจารณาเหตุผลประกอบในการตีความบทบัญญัติดังกล่าวเพื่อคุ้มครองผู้เสียหายที่ต้องได้รับการเยียวยาและเป็นธรรมต่อผู้ที่ต้องรับผิดในการละเมิดของผู้อื่น
ซึ่งความรับผิดเพื่อการละเมิดของผู้อื่นนั้นได้แก่กรณีดังต่อไปนี้[6]
2.1)
กรณีของนายจ้างร่วมรับผิดในการทำละเมิดของลูกจ้าง ตามมาตรา 425
นั้นหากปรากฎว่าลูกจ้างได้กระทำละเมิดในทาการที่จ้างแล้ว
นายจ้างต้องร่วมรับผิดเสมอ
โดยที่กฎหมายไม่ได้เปิดช่องให้นายจ้างปฏิเสธความรับผิดแต่อย่างได
แม้ตัวนายจ้างเองจะได้ใช้ความระมัดระวังในการจ้างและควบคุมการทำงานของลูกจ้างดีแล้วก็ตาม
นายจ้างก็ไม่อาจปฏิเสธความรับผิดร่วมกับลูกจ้างได้
2.2)
กรณีตัวการร่วมรับผิดในการทำละเมิดของตัวแทน ตามมาตรา 427
โดยกฎหมายกำหนดให้นำบทบัญญัติในเรื่องนายจ้างลูกจ้างมาใช้ หมายถึง ตัวการต้องร่วมรับผิดกับตัวแทนในผลแห่งละเมิดในกรณีที่การทำละเมิดนั้นอยู่ในขอบวัตถุประสงค์แห่งการเป็นตัวแทนเท่านั้น
และหากอยู่ในขอบวัตถุประสงค์แล้ว ตัวการไม่มีข้อปฏิเสธความรับผิดได้
เช่นเดียวกับนายจ้าง
2.3) กรณีความรับผิดของบิดามารดา
ผู้อนุบาลร่วมรับผิดในการทำละเมิดของผู้เยาว์หรือคนไร้ความสามารถ ตามมาตรา 429
เมื่อผู้เยาว์หรือคนไร้ความสามารถไปทำละเมิดต่อผู้อื่น ผู้ที่มีอำนาจปกครองหรือเป็นผู้ที่คอยอนุบาลคนไร้ความสมารถตามกฎหมายก็ต้องรับผิดในผลแห่งละเมิดนั้นด้วย
แต่ก็มีข้อยกเว้นไม่ต้องรับผิด หากสามารถพิสูจน์ว่าตนได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ซี่งทำอยู่นั้นแล้ว
ซึ่งหากพิจารณาดูจะเห็นว่า หากบิดามารดา
ผู้อนุบาลใช้ความระมัดระวังในการทำหน้าที่ของตัวเองก็ไม่ต้องรับผิดร่วมในผลแห่งละเมิด
แต่ถ้าไม่ได้ใช้ความระมัดวังในการทำหน้าที่ก็ต้องร่วมรับผิด
2.4) กรณีความรับผิดของครูบาอาจารย์
นายจ้าง บุคคลอื่นผู้ดูแลบุคคลผู้ไร้ความสามารถ ตามมาตรา 430
เมื่อผู้ที่อยู่ในความดูแลได้ไปทำละเมิดกฎหมายให้บุคคลที่มีหน้าที่ดูแลผู้ไร้ความสามารถต้องร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิดที่ผู้ไร้ความสามารถได้กระทำ
แต่ทั้งนี้จะต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าบุคคลนั้น ๆ มิได้ใช้ ความระมัดระวังตามสมควร
จะเห็นได้ว่าความรับผิดในการกระทำของบุคคลอื่นนั้นมีหลายกรณี
ซึ่งหากพิจารณาแล้วจะเห็นว่าผู้ที่ต้องรับผิดในการทำละเมิดของบุคคลอื่นนั้นล้วนแต่มีความเกี่ยวข้องกับผู้ที่ทำละเมิด
เช่น เป็นนายจ้างลูกจ้าง เป็นตัวการตัวแทนกัน เป็นบิดามารดาหรือผู้ปกครอง
หรือเป็นผู้ที่ดูแลบุคคลไร้ความสามารถอยู่ แต่ความรับผิดอันเกิดจากการกระทำของบุคคลอื่นที่กล่าวมานี้
มีบางกรณีที่ผู้นั้นสามารถอ้างหรือปฏิเสธความรับผิดได้ เช่น
อ้างว่าตนได้ใช้ความระมัดระวังในการทำหน้าที่ดูแลแล้วก็ไม่ต้องรับผิด ดังนั้นเมื่อปฏิเสธความรับผิดได้จะถือว่าเป็นความรับผิดในการกระทำของผู้อื่นได้หรือไม่
3.ความรับผิดในทางอาญา
โดยหลักแล้วความรับผิดในทางอาญานั้นเป็นความรับผิดในการกระทำของตนเอง
การกระทำอันเป็นความผิดอันนั้นเองนำมาซึ่งความรับผิดและโทษทางอาญา
ซึ่งเราแยกพิจารณาผู้กระทำความผิดในทางอาญาออกเป็น 3 กรณีด้วยกัน[7]
3.1) ผู้กระทำความผิดด้วยตนเองหรือผู้กระทำความผิดโดยทางตรง
ความรับผิดเกิดจากการกระทำทุกๆ
อย่างต้องตามบทบัญญัติของความผิดฐานใดฐานหนึ่งที่กฎหมายบัญญัติด้วยตนเอง[8] เช่น
เป็นคนเอาขวดตีหัวคนอื่น ขับรถชนคนอื่นด้วยตัวเอง
3.2) ผู้กระทำความผิดโดยอ้อม
ความรับผิดเกิดจากการใช้บุคคลที่ไม่มีเจตนากระทำความผิด (Innocent Agent) เป็นเครื่องมือในการกระทำความผิด โดยที่ไม่ถือว่ากระทำความผิดโดยอ้อมไม่ใช่ผู้ใช้[9]
เพราะผู้ถูกใช้ไม่มีเจตนากระทำความผิด[10]
3.3) ผู้มีส่วนร่วมในการกระทำความผิด
(Parties to Crime) ความรับผิดกรณีนี้เกิดจากการเข้าไปมีส่วนร่วมในฐานะเป็นตัวการ
ผู้ใช้ ผู้สนับสนุนในการกระทำความผิด เมื่อมีส่วนร่วมก็ต้องสมควรได้รับโทษ
จะเห็นได้ว่าผู้ที่ต้องรับผิดในทางอาญาทั้ง
3 ประเภทดังกล่าวข้างต้นนั้นล้วนแต่มีพื้นฐานมาจากการกระทำของตนเองทั้งสิ้น
กล่าวคือเป็นการกระทำความผิดของตนเอง[11]
เพราะได้กระทำความผิดโดยตรง ได้กระทำความผิดโดยอ้อม
หรือเพราะมีส่วนร่วมในการกระทำความผิด
จะเห็นว่าเหตุที่ทำให้ผู้นั้นต้องมีความรับผิดทางอาญามาจากการที่เป็นผู้กระทำความผิดด้วยตัวเองหรือเป็น้พราะเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด
ซึ่งล้วนแต่เป็นความรับผิดอันเกิดจากการกระทำของตนเองทั้งสิ้น
ดังนั้นในทางอาญาจะมีความรับผิดอันเกิดจากการกระทำของบุคคลอื่นได้หรือไม่
4.
บทวิเคราะห์ความรับผิดในการกระทำของผู้อื่น
4.1 กฎหมายแพ่ง
ความรับผิดในการกระทำของบุคคลอื่น
(Vicarious Liability) นั้นคือความรับผิดที่เกิดขึ้นโดยที่ผู้นั้นไม่มีความผิด
แต่เป็นความรับผิดอันเกิดการทำละเมิดของผู้อื่น แต่เพราะเหตุผู้นั้นมีฐานะเกี่ยวข้องกับผู้กระทำความผิด
ในกฎหมายแพ่งความรับผิดในการทำละเมิดของผู้อื่นนั้นมีอยู่หลายกรณีด้วยกัน
แต่หากพิจารณาแล้วจะเห็นว่าในกรณีความรับผิดของบิดามารดา ผู้อนุบาล ตามมาตรา 429
และกรณีความรับผิดของครูบาอาจารย์ นายจ้าง บุคคลอื่นผู้ดูแลบุคคลผู้ไร้ความสามารถ
ตามมาตรา 430 กฎหมายได้เปิดช่องให้บิดามารดา ผู้อนุบาล
หากพิสูจน์ได้ว่าตนเองได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ดูแลซึ่งทำอยู่นั้นก็ไม่ต้องรับผิด
แสดงให้เห็นว่าแท้จริงแล้งความรับผิดร่วมกับผู้เยาว์หรือคนวิกลจริตตามมาตรานี้ คือ
การไม่เอาใจใส่ในการเลี้ยงดูของบิดามารดา หรือผู้อนุบาลนั้นเอง
ซึ่งถือเป็นความผิดของตนเอง จึงมิใช่ความรับผิดในการกระทำของบุคคลอื่น
เช่นเดียวกันกับกรณีของความรับผิดของครูบาอาจารย์ นายจ้าง
บุคคลอื่นผู้ดูแลบุคคลผู้ไร้ความสามารถ ตามมาตรา 430 ที่ต้องรับผิดเพราะตนเองบกพร่องในการดูแลบุคคลที่ต้องดูแล
ซึ่งถือเป็นความรับผิดอันเกิดจากการกระทำของตนเองเช่นกัน
ส่วนกรณีความรับผิดของนายจ้างที่ต้องร่วมรับผิดในการทำละเมิดของลูกจ้างในทางการที่จ้างตาม
ม.426
นั้น กฎหมายไม่เปิดช่องให้นายจ้างปฏิเสธความรับผิดเลย
หากการทำละเมิดนั้นอยู่ในทางการที่จ้างของนายจ้างแล้ว แม้นายจ้างจะได้ใช้ความระมัดระวังอย่างดีในการจ้าง
ไม่ขาดตกบกพร่องในการทำหน้าที่นายจ้างเลยก็ตาม นายจ้างก็ไม่อาจปฏิเสธความรับผิดได้
จะเห็นได้ว่าความรับผิดของนายจ้างนั้น
เช่นเดียวกับคามรับผิดของตัวการที่ต้องร่วมรับผิดในการกระทำของตัวแทนที่ได้กระทำภายในขบวัตถุประสงค์ของการเป็นตัวแทนที่ไม่อาจปฏิเสธความรับผิดได้
ซึ่งถือเป็นความรับผิดอันเกิดจากการกระทำของผู้อื่นโดยแท้
4.2 กฎหมายอาญา
แม้โดยหลักแล้วความรับผิดทางอาญาจะเกิดขึ้นจากการกระทำของตนเอง
หากไม่ไม่ได้ลงมือเองแล้วก็ต้องเป็นเพราะเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องในการกระทำความผิด
เช่น การเป็นตัวการ ผู้ใช้ หรือผู้สนับสนุน
แต่มีบางกรณีบุคคลอาจต้องมีความรับผิดทางอาญาในการกระทำของบุคคลอื่น (Vicarious Liability)
ซึ่งมีแนวความคิดมาจากความรับผิดในทางละเมิด
ที่ทำให้เกิดความรับผิดต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในการทำละเมิดของบุคคลอื่น โดยที่ผู้ต้องรับผิดร่วมนั้นไม่มีความผิดเลย
แต่เพราะฐานะหรือความสัมพันธ์บางอย่าง เช่น เป็นนายจ้างกับลูกจ้าง
เมื่อลูกจ้างทำละเมิดในทางการที่จ้างนายจ้างต้องรับผิดร่วมกับลูกจ้าง
โดยที่นายจ้างไม่ต้องจงใจหรือประมาทใด ๆ เลย
ความรับผิดในการกระทำของบุคคลอื่น (Vicarious Liability)
ที่ปรากฏในกฎหมายอาญา ในมาตรา 213
ถ้าสมาชิกอั่งยี่หรือซ่องโจรคนหนึ่งคนใดได้กระทำความผิดตามความมุ่งหมายของอุ่งยี่หรือซ่องโจรนั้น
สมาชิกอั่งยี่หรือซ่องโจรที่อยู่ด้วยในขณะกระทำความผิด
หรืออยู่ด้วยในที่ประชุมแต่ไม่ได้คัดค้านในการตกลงกระทำความผิดและบรรดาหัวหน้า
ผู้จัดการ หรือมีตำแหน่งหน้าที่ในอั่งยี่หรือซ่องโจรนั้น
ต้องระวางโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้นทุกคน
จะเห็นว่ามาตรานี้ผู้ที่ต้องรับผิดไม่ได้มีส่วนร่วมในการกระทำผิดด้วย
ไม่ได้ร่วมลงมือกระทำความผิดนั้นด้วยเลย[12]
ไม่ได้เป็นตัวการ ผู้ใช้ หรือผู้สนับสนุน แต่ต้องรับผิดเพราะฐานะบางอย่างเช่น
เป็นหัวหน้า ผู้จัดการ หรือเป็นสมาชิก
เมื่อมีสมาชิกอื่นในอั่งยี่หรือซ่องโจรได้ไปกระทำความผิดตามความมุ่งหมายของอั่งยี่หรือซ่องโจร
คนที่ไม่ได้กระทำก็ต้องรับผิดกับเขาด้วย จึงเป็นความรับผิดในการกระทำของบุคคลอื่น
5. บทสรุป
ความรับผิดในการการกระทำของผุ้อื่น
(Vicarious
Liability) คือความรับผิดที่ผู้นั้นไม่มีความผิด (Fault) เลย
แต่ที่ต้องรับผิดเพราะที่ต้องรับผิดเพราะฐานะบางอย่างที่เป็นเหตุให้ต้องร่วมรับผิด
เช่น นายจ้างที่ต้องร่วมรับผิดกับลูกจ้าง ตัวการที่ต้องร่วมรับผิดกับตัวแทน
ส่วนกรณีของบิดามารดา ผู้อนุบาล ตามมาตรา 429 และกรณีความรับผิดของครูบาอาจารย์
นายจ้าง บุคคลอื่นผู้ดูแลบุคคลผู้ไร้ความสามารถ ตามมาตรา 430
นั้นเมื่อบุคคลดังกล่าวสามารถพิสูจน์ได้ว่าได้ใช้ความระมัดระวัง
หรือต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าไม่ได้ใช้ความระมัดระวังแล้วก็ไม่ต้องรับผิด
จึงไม่ใช่ความรับผิดในการกระทำของผู้อื่น (Vicarious Liability)
แต่เป็นความรับผิดในการกระทำของตนเองที่ไม่ได้ใช้ความระมัดระวังในการดูแลผู้เยาว์
คนวิกลจริต หรือบุคคลผู้ไร้ความสามารถ
ส่วนในทางอาญานั้นตัวการ
ผู้ใช้ ผู้สนับสนุนในการกระทำความผิด
แม้จะไม่ได้เป็นผู้ลงมือกระทำความผิดเองก็ต้องรับโทษร่วมกับผู้ลงมือกระทำความผิด
แต่ก็ไม่ใช่ความรับผิดในการกระทำของผู้อื่น แต่เป็นความรับผิดอันเกิดจากการกระทำของตนเอง
|
|
|
|
|
No comments:
Post a Comment